ข่าวสารวันนี้

ส่องข่าวสาร แวดวงการเมือง อัปเดตรายวัน

    Category Archive : วาไรตี้

    5 อันดับแหล่งคาเฟอีนธรรมชาติที่คุณควรรู้ มีอะไรบ้าง

    5 อันดับแหล่งคาเฟอีนธรรมชาติที่คุณควรรู้ มีอะไรบ้าง

    ในยุคปัจจุบัน หลายคนหันมาหาคาเฟอีนจากแหล่งธรรมชาติมากขึ้น เพราะเชื่อว่าดีต่อสุขภาพมากกว่าการรับคาเฟอีนจากเครื่องดื่มสำเร็จรูป เช่น กาแฟและเครื่องดื่มพลังงาน วันนี้เราจะพาคุณแม่หยัวและทุกคนมาดู 5 แหล่งคาเฟอีนธรรมชาติที่มีปริมาณคาเฟอีนสูงสุดถึงต่ำสุด

    1. กาแฟอาราบิก้า (Arabica Coffee)

    กาแฟอาราบิก้าให้คาเฟอีนสูงสุดที่ประมาณ 60-70 มก. ต่อถ้วยมาตรฐาน และเป็นแหล่งคาเฟอีนยอดนิยมของคนทั่วโลก โดยมีรสชาติและกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ จึงเป็นตัวเลือกแรกสำหรับคนที่ต้องการความตื่นตัวทันที

    2. ชามัทฉะ (Matcha Tea)

    ชาเขียวมัทฉะจากญี่ปุ่นมีคาเฟอีนประมาณ 40-70 มก. ต่อถ้วย และมีสารต้านอนุมูลอิสระอย่างมากมาย ชามัทฉะเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมในหมู่คนรักสุขภาพ ที่ต้องการคาเฟอีนในปริมาณกลาง ๆ และช่วยให้ตื่นตัวนานกว่า

    3. ช็อกโกแลตดาร์ก (Dark Chocolate)

    ดาร์กช็อกโกแลตเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นแหล่งคาเฟอีนธรรมชาติที่ดี เพราะมีคาเฟอีนประมาณ 12 มก. ต่อ 28 กรัม ซึ่งช่วยให้ตื่นตัวได้เล็กน้อย และยังมีสารฟีนิลเอธิลามีนที่ช่วยให้ความรู้สึกมีความสุข

    4. กระวานดำ (Black Cardamom)

    กระวานดำอาจจะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักว่าเป็นแหล่งคาเฟอีน แต่ให้คาเฟอีนประมาณ 10 มก. และสามารถนำมาใส่ในเครื่องดื่มเช่น ชา เพื่อให้ได้รสชาติและกลิ่นที่เพิ่มขึ้น

    5. กระชายดำ (Kra Chai Dam)

    แม้จะเป็นแหล่งคาเฟอีนที่มีคาเฟอีนต่ำสุด แต่กระชายดำกลับเป็นสมุนไพรที่ช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าและเสริมสมรรถภาพ โดยเหมาะสำหรับคนที่อยากได้พลังเพิ่มโดยไม่ทำให้กระวนกระวาย

    สรุป

    การเลือกแหล่งคาเฟอีนจากธรรมชาติตามลำดับนี้สามารถทำได้ตามความชอบ และหากคุณแม่หยัวต้องการคาเฟอีนต่ำก็สามารถเลือกกระชายดำได้ เพื่อเสริมพลังในแต่ละวันอย่างเป็นธรรมชาติ

    เปิดกรุสมุนไพรล้านนา “มะแขว่น” ที่ซ่อนพลังบำรุงผิว

    เปิดกรุสมุนไพรล้านนา “มะแขว่น” ที่ซ่อนพลังบำรุงผิว

    มะแขว่น” หรือ “ฮก” เป็นสมุนไพรที่โดดเด่นในวัฒนธรรมล้านนา ถือเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตชาวเหนือซึ่งนิยมนำมาใช้ในอาหารและยาสมุนไพรมายาวนาน ด้วยรสเผ็ดร้อนและกลิ่นหอมเฉพาะตัว ทำให้ “มะแขว่น” เป็นที่นิยมอย่างมากในการปรุงอาหารพื้นบ้าน เช่น ลาบ แกงโฮะ และแกงฮังเล นอกจากนี้ ยังถูกนำมาใช้ในศาสตร์ความงามของพระสนมล้านนา หรือ “แม่หยัว” ที่ต้องการมีผิวพรรณเปล่งปลั่งและสดใส

    ตำนานและความสำคัญของ “มะแขว่น” ในล้านนา “มะแขว่น” มีการบันทึกในประวัติศาสตร์ล้านนามาหลายร้อยปี ในฐานะสมุนไพรที่ช่วยรักษาโรคและบำรุงสุขภาพ บรรเทาอาการท้องอืด ปวดข้อ และเสริมสมรรถภาพการย่อยอาหาร ทำให้เป็นที่รักและยอมรับในวัฒนธรรมล้านนา นอกจากการใช้งานทางการแพทย์แล้ว “มะแขว่น” ยังแฝงด้วยคุณค่าทางจิตวิญญาณ ชาวล้านนาเชื่อว่าการนำสมุนไพรชนิดนี้มาใช้สามารถช่วยปรับสมดุลร่างกายได้อย่างดี

    “มะแขว่น” กับความงามของพระสนมล้านนา นอกจากบทบาทในครัวแล้ว “มะแขว่น” ยังถูกใช้ในการดูแลผิวพรรณของพระสนมในวังล้านนา โดย “มะแขว่น” มีสารที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตในผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่ง สวยงาม นอกจากนี้ยังช่วยลดความเครียด ช่วยปรับสมดุลภายใน ทำให้ผิวพรรณสดใสและดูอ่อนเยาว์ และกลายเป็นที่รู้จักในฐานะ “อาวุธลับ” ของเหล่าพระสนม

    วิธีการใช้ “มะแขว่น” เพื่อความงาม

    • การใช้ “มะแขว่น” ต้มกับน้ำใช้เป็นสเปรย์ฉีดผิว ช่วยบำรุงผิวให้ดูสดใส
    • ใช้เป็นส่วนผสมในสครับผิว ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทำให้ผิวเนียนนุ่ม
    • ใช้ “มะแขว่น” เป็นส่วนประกอบในน้ำมันหอมระเหย ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ลดการปวดเมื่อย

    สรุป “มะแขว่น” ไม่เพียงแต่เป็นสมุนไพรที่มีคุณค่าทางด้านสุขภาพและอาหาร แต่ยังเป็นตัวแทนของภูมิปัญญาท้องถิ่นล้านนา ซึ่งสืบทอดมาอย่างยาวนาน การนำ “มะแขว่น” มาใช้ในการดูแลผิวพรรณและบำรุงสุขภาพ ทำให้คนรุ่นใหม่เห็นถึงความสำคัญของสมุนไพรไทยที่มีคุณค่าสูงและยังประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย

    มายด์ใน เกมรักปาฏิหาริย์ EP.1 จะเดินทางในเส้นทางไหนหลังเจอความจริงสุดช็อก

    มายด์ใน เกมรักปาฏิหาริย์ EP.1 จะเดินทางในเส้นทางไหนหลังเจอความจริงสุดช็อก

    เกมรักปาฏิหาริย์ EP.1 เริ่มต้นด้วยการนำเสนอเรื่องราวของ “มายด์” หญิงสาวที่ชีวิตกำลังเผชิญกับช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ มายด์เป็นตัวแทนของคนที่กำลังค้นหาความหมายในชีวิต เธอมีหน้าที่การงานที่มั่นคงและความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนจะราบรื่น แต่ภายในเธอกลับต้องต่อสู้กับความรู้สึกที่ไม่แน่ใจเกี่ยวกับอนาคต

    จุดพลิกผันในเรื่องเกิดขึ้นเมื่อเธอได้รู้ความจริงบางอย่างที่ทำให้ทุกสิ่งที่เธอเชื่อพังทลาย มันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ทำให้มายด์ต้องตัดสินใจว่าจะเดินต่อไปในเส้นทางไหน การเลือกของเธอไม่เพียงแต่จะส่งผลต่อตัวเธอเอง แต่ยังรวมถึงคนรอบข้างอีกด้วย

    การต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงและความรัก เป็นหัวใจหลักของเรื่องในตอนนี้ การเดินทางของมายด์ในตอนแรกเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการท้าทายครั้งใหญ่ในชีวิตเธอ

    ป้องกันมะเร็งด้วยตัวเองง่าย ๆ 8 วิธีที่ใครก็ทำได้

    ป้องกันมะเร็งด้วยตัวเองง่าย ๆ 8 วิธีที่ใครก็ทำได้

    ป้องกันโรคมะเร็งง่าย ๆ เพียงปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน

    โรคมะเร็งยังคงเป็นหนึ่งในโรคร้ายที่หลายคนกังวล แต่ข่าวดีคือ เราสามารถลดโอกาสในการเกิดโรคนี้ได้เพียงปรับพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน

    1. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่

    เลือกอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน โดยเฉพาะผักและผลไม้ เพราะอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยต้านมะเร็ง

    2. หลีกเลี่ยงการบริโภคเนื้อแดงและเนื้อแปรรูป

    การบริโภคเนื้อแดงมากเกินไปและเนื้อแปรรูปอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ใหญ่

    3. ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน

    การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้

    4. หยุดสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์

    บุหรี่และแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่ส่งผลต่อการเกิดมะเร็ง หากสามารถเลิกหรือหลีกเลี่ยงจะลดความเสี่ยงลงได้

    5. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

    การดื่มน้ำมากพอในแต่ละวันช่วยให้ร่างกายขับของเสียออกได้ดี ลดการสะสมของสารพิษที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง

    6. หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารพิษและมลพิษ

    สารพิษจากมลภาวะ อาหาร และเครื่องสำอางบางชนิดอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง การหลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีจึงเป็นสิ่งจำเป็น

    7. นอนหลับเพียงพอและลดความเครียด

    การนอนหลับให้เพียงพอและการลดความเครียดเป็นการส่งเสริมให้ร่างกายแข็งแรงและลดโอกาสในการเกิดโรค

    8. ตรวจสุขภาพประจำปี

    การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอทำให้เรารู้ความเสี่ยงและสามารถป้องกันหรือรักษาได้อย่างทันท่วงที

    เลือกเนื้อหมูแบบไหนให้เหมาะกับเมนูที่คุณทำ

    เลือกเนื้อหมูแบบไหนให้เหมาะกับเมนูที่คุณทำ

    เนื้อหมูสันนอกและสันในเป็นส่วนที่นิยมใช้ในการทำอาหาร แต่หลายคนอาจยังสงสัยว่าทั้งสองส่วนนี้ต่างกันอย่างไร และควรเลือกใช้ส่วนไหนในการทำเมนูโปรดของคุณ บทความนี้จะช่วยแนะนำความแตกต่างระหว่างเนื้อหมูทั้งสองส่วนให้คุณได้เข้าใจมากขึ้น

    สันนอก: เนื้อแน่นมันหน่อย
    เนื้อหมูสันนอกเป็นเนื้อที่มาจากบริเวณหลังของหมู ซึ่งเนื้อส่วนนี้จะมีไขมันแทรกอยู่เล็กน้อย เนื้อจึงมีความมันและรสชาติที่เข้มข้นกว่า สันนอกมีเนื้อสัมผัสที่แน่น และอาจเหนียวกว่าสันใน แต่ด้วยไขมันที่แทรกอยู่ทำให้เมนูที่ใช้เนื้อสันนอกจะมีรสชาติเข้มข้น นิยมใช้ในการทำเมนูสเต็ก หมูผัด และหมูทอด

    สันใน: เนื้อนุ่มละลายในปาก
    สำหรับสันใน เนื้อส่วนนี้เป็นเนื้อที่ไม่เคลื่อนไหวมาก จึงมีความนุ่มที่สุดของหมู อีกทั้งยังมีไขมันน้อยมาก ทำให้เมนูที่ทำจากเนื้อสันในจะให้สัมผัสที่นุ่มฟันเหมาะสำหรับเมนูที่ต้องการเนื้อนุ่มละมุน เช่น สเต็กหมูแบบนุ่ม ต้มจืด หรือหมูย่างนุ่มๆ

    ความแตกต่างด้านรสชาติ
    เนื้อสันนอกจะมีรสชาติที่เข้มข้นกว่าเนื่องจากมีไขมันแทรก แต่เนื้อสัมผัสจะแน่นและแข็งเล็กน้อย ในขณะที่สันในจะให้เนื้อสัมผัสที่นุ่มและละลายได้ในปาก แต่รสชาติจะอ่อนกว่าเนื้อสันนอก

    เมนูที่เหมาะกับเนื้อสันนอกและสันใน

    • เนื้อสันนอก: หมูทอด สเต็กหมู เนื้อผัด
    • เนื้อสันใน: สเต็กนุ่ม ต้มจืด หมูย่างนุ่ม

    สรุป
    เนื้อสันนอกและสันในมีความแตกต่างกันทั้งด้านรสชาติและเนื้อสัมผัส สันในนุ่มฟันกว่า เหมาะกับเมนูที่ต้องการความนุ่ม เช่น หมูย่างหรือต้มจืด ส่วนสันนอกมีรสชาติที่เข้มข้นกว่า เหมาะกับเมนูที่ต้องการความมันและความแน่น เช่น หมูทอดหรือสเต็ก

    6 อาหารต้านการอักเสบ กินแล้วดี ลดเสี่ยงโรคร้าย

    6 อาหารต้านการอักเสบ กินแล้วดี ลดเสี่ยงโรคร้าย

    การอักเสบในร่างกายอาจเป็นสาเหตุของโรคร้ายแรงมากมาย เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ และภาวะซึมเศร้า การป้องกันและลดการอักเสบจึงมีความสำคัญ อาหารบางชนิดมีสรรพคุณต้านการอักเสบและช่วยป้องกันโรคเรื้อรังได้ มาดูกันว่า 6 อาหารเหล่านั้นคืออะไร

    1. ปลาแซลมอน

    แซลมอนมีกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่ช่วยลดการอักเสบและส่งเสริมสุขภาพหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงสมองและลดความเสี่ยงของภาวะซึมเศร้า

    2. อะโวคาโด

    อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว วิตามิน และแร่ธาตุที่ช่วยลดการอักเสบ การบริโภคอะโวคาโดช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและมะเร็ง

    3. มะเขือเทศ

    มะเขือเทศเป็นแหล่งของไลโคปีน สารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งช่วยลดการอักเสบและป้องกันโรคหัวใจ

    4. ขิง

    ขิงมีสรรพคุณในการต้านการอักเสบ ลดอาการเจ็บปวด และช่วยปรับสมดุลในร่างกาย การบริโภคขิงสามารถลดความเสี่ยงของโรคข้ออักเสบและมะเร็งได้

    5. ถั่วต่างๆ

    การบริโภคถั่วชนิดต่างๆ เช่น อัลมอนด์ และเมล็ดแฟล็กซ์ ช่วยลดการอักเสบและบำรุงหัวใจ ถั่วเหล่านี้มีกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่สำคัญต่อการลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง

    6. ชาเขียว

    ชาเขียวมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบและบำรุงสมอง นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงของภาวะซึมเศร้าและโรคอัลไซเมอร์

    สรุป อาหารที่มีสรรพคุณต้านการอักเสบไม่เพียงช่วยลดการเกิดโรคเรื้อรัง แต่ยังเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น การเลือกบริโภคอาหารเหล่านี้จึงเป็นกุญแจสำคัญในการดูแลสุขภาพ

    เก็บโหระพาในตู้เย็นเสี่ยงเสียไว รู้วิธีเก็บที่ถูกต้องได้ที่นี่

    เก็บโหระพาในตู้เย็นเสี่ยงเสียไว รู้วิธีเก็บที่ถูกต้องได้ที่นี่

    การเก็บสมุนไพรอย่าง “โหระพา” ในตู้เย็นอาจฟังดูเป็นวิธีที่ดีในการยืดอายุการใช้งาน แต่จริงๆ แล้วนักวิทยาศาสตร์อาหารเตือนว่าการเก็บโหระพาในตู้เย็นสามารถทำให้ใบกลายเป็นสีดำและกลิ่นหอมที่เรารู้จักกันดีนั้นจางหายไป ความเย็นในตู้เย็นมีผลทำให้เซลล์ของใบพืชเสื่อมสภาพเร็วขึ้น นั่นเป็นสาเหตุที่ควรหลีกเลี่ยงการเก็บโหระพาในตู้เย็นเด็ดขาด

    วิธีการเก็บโหระพาที่ควรทำ:

    1. ใส่แก้วน้ำที่อุณหภูมิห้อง: คำแนะนำจากนักวิทยาศาสตร์อาหารคือการเก็บโหระพาในแก้วน้ำที่อุณหภูมิห้อง วิธีนี้จะช่วยรักษาความสดและกลิ่นหอมได้อย่างดี โดยไม่จำเป็นต้องแช่เย็น
    2. แช่แข็งโหระพา: หากจำเป็นต้องเก็บในระยะยาว นักวิทยาศาสตร์แนะนำให้แช่แข็งโหระพาแทนการแช่เย็น วิธีนี้จะช่วยรักษาคุณค่าทางโภชนาการและกลิ่นหอมได้ดีกว่า
    3. ห่อในกระดาษชื้น: ห่อโหระพาด้วยกระดาษชื้นและใส่ในถุงซิปล็อก จะช่วยให้เก็บได้นานขึ้นและยังรักษาความสดอยู่ได้นานหลายวัน

    สาเหตุที่ไม่ควรเก็บโหระพาในตู้เย็น:

    โหระพาเป็นพืชที่ต้องการอุณหภูมิที่อบอุ่น การเก็บในตู้เย็นทำให้พืชเสื่อมสภาพเร็ว นักวิทยาศาสตร์อาหารแนะนำว่าการเก็บที่อุณหภูมิห้องเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการเก็บโหระพาให้สดนานและยังคงกลิ่นหอมไว้ได้

    เปิดรายชื่อ 10 ชื่อเล่นยอดนิยม ที่โหลที่สุดในไทยตอนนี้

    เปิดรายชื่อ 10 ชื่อเล่นยอดนิยม ที่โหลที่สุดในไทยตอนนี้

    เมื่อพูดถึงชื่อเล่นในประเทศไทย หลายคนคงเคยได้ยินชื่อซ้ำๆ กันมาหลายครั้ง นั่นเป็นเพราะบางชื่อเล่นได้รับความนิยมอย่างสูงในแต่ละยุคสมัย ทำให้หลายคนมักจะมีชื่อเล่นที่คล้ายกัน โดยวันนี้เราจะมาดูกันว่า 10 อันดับชื่อเล่นที่โหลที่สุดในไทยสำหรับผู้ชายและผู้หญิง มีชื่อของคุณหรือเปล่า? มาดูกันเลย!

    10 อันดับชื่อเล่นยอดนิยมสำหรับผู้ชาย

    1. โอ๊ต – ชื่อเล่นที่สั้น จำง่าย และมีเสน่ห์ในตัวเอง
    2. ตูน – ชื่อที่ฟังดูน่ารักและอบอุ่น ได้รับความนิยมในหมู่คนรุ่นใหม่
    3. อาร์ม – ชื่อที่เรียกง่าย สั้น และทันสมัย
    4. บูม – ชื่อเล่นที่เหมาะกับเด็กชายที่มีพลังงานเยอะ
    5. เบิร์ด – ชื่อที่โด่งดังจากนักร้องชื่อดัง ทำให้ได้รับความนิยมมาก
    6. ดิว – ชื่อสั้น เรียกง่าย และมีความเป็นเอกลักษณ์
    7. ฟลุ๊ค – ชื่อเล่นที่ฟังดูน่ารักและเป็นกันเอง
    8. นนท์ – ชื่อที่ฟังแล้วดูสงบและเป็นมิตร
    9. ป๊อป – ชื่อเล่นที่สั้นและมีความหมายว่าเป็นที่นิยม
    10. แบงค์ – ชื่อที่ยังคงได้รับความนิยมสูงสุดในทุกยุคทุกสมัย

    10 อันดับชื่อเล่นยอดนิยมสำหรับผู้หญิง

    1. น้ำตาล – ชื่อที่หวานเหมือนกับตัวชื่อเอง เป็นชื่อที่น่ารักมาก
    2. มะปราง – ชื่อที่ให้ความรู้สึกสดชื่นและเป็นเอกลักษณ์
    3. ใบเฟิร์น – ชื่อที่สื่อถึงความงามและความอ่อนโยน
    4. แอน – ชื่อเล่นที่มาจากภาษาอังกฤษแต่ยังคงได้รับความนิยม
    5. ดาว – ชื่อที่ฟังดูสดใสและสว่างไสว
    6. ขิม – ชื่อเล่นที่สั้นและเก๋ ดูมีเอกลักษณ์
    7. แตงโม – ชื่อที่สนุกและน่ารัก ฟังแล้วจำง่าย
    8. มิ้นท์ – ชื่อเล่นที่ให้ความรู้สึกสดชื่น สะอาด
    9. ฟ้า – ชื่อที่ให้ความรู้สึกกว้างใหญ่และอิสระ
    10. จอย – ชื่อที่สื่อถึงความสนุกสนานและความสุข

    ชื่อเล่นแต่ละชื่อมีความน่ารักและเป็นที่นิยมในหมู่คนไทย หากคุณมีชื่อเหล่านี้อยู่ในลิสต์ ก็แสดงว่าคุณเป็นหนึ่งในคนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศไทยเลยทีเดียว!

    เปิดเผย 10 พฤติกรรมทำลายกล้ามเนื้อที่คุณต้องเลิกทำทันที

    เปิดเผย 10 พฤติกรรมทำลายกล้ามเนื้อที่คุณต้องเลิกทำทันที

    การสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรงไม่ใช่แค่การออกกำลังกายเท่านั้น แต่พฤติกรรมบางอย่างอาจทำให้คุณสูญเสียกล้ามเนื้อโดยไม่รู้ตัว ซึ่งหากไม่ระวังอาจส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอลง ลองมาดูกันว่าพฤติกรรมใดบ้างที่ทำให้กล้ามเนื้อหายไปอย่างน่าตกใจ!

    1. ทานโปรตีนน้อยเกินไป

    โปรตีนเป็นส่วนสำคัญในการสร้างและซ่อมแซมกล้ามเนื้อ หากทานโปรตีนไม่เพียงพอ ร่างกายจะเริ่มสลายกล้ามเนื้อเพื่อให้ได้กรดอะมิโนที่ต้องการ ส่งผลให้คุณสูญเสียกล้ามเนื้ออย่างไม่รู้ตัว

    2. พักผ่อนไม่เพียงพอ

    การนอนหลับเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายซ่อมแซมและฟื้นฟูกล้ามเนื้อ หากคุณนอนไม่พอหรือมีปัญหาในการนอน อาจส่งผลให้ร่างกายสลายกล้ามเนื้อแทนที่จะสร้างใหม่

    3. ออกกำลังกายหนักเกินไป

    การออกกำลังกายที่หนักเกินไปหรือไม่มีวันพักร่างกาย อาจทำให้กล้ามเนื้อไม่ได้รับการฟื้นฟูเพียงพอ จนนำไปสู่การสูญเสียกล้ามเนื้อแทนที่จะสร้าง

    4. ขาดสารอาหารที่สำคัญ

    นอกจากโปรตีนแล้ว คาร์โบไฮเดรตและไขมันที่ดีต่อสุขภาพก็มีบทบาทในการสร้างกล้ามเนื้อ หากขาดสารอาหารเหล่านี้ ร่างกายจะหันไปสลายกล้ามเนื้อเพื่อใช้พลังงานแทน

    5. ไม่ยืดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย

    การยืดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกายช่วยป้องกันการบาดเจ็บและส่งเสริมการฟื้นฟูกล้ามเนื้อ หากละเลยการยืดกล้ามเนื้อ อาจทำให้กล้ามเนื้อลดลงเร็วขึ้น

    6. เครียดสะสม

    ความเครียดทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมาในปริมาณสูง ซึ่งฮอร์โมนนี้สามารถทำลายกล้ามเนื้อได้ ดังนั้นหากคุณเครียดบ่อยครั้ง ร่างกายอาจสลายกล้ามเนื้อโดยไม่รู้ตัว

    7. ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป

    การดื่มแอลกอฮอล์บ่อยครั้งและมากเกินไปสามารถรบกวนการฟื้นฟูกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแอลง และอาจสูญเสียกล้ามเนื้อในระยะยาว

    8. นั่งอยู่กับที่นานเกินไป

    การนั่งหรืออยู่ในท่าเดิมนานๆ โดยไม่มีการขยับตัว ทำให้การไหลเวียนเลือดไม่ดี ส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแอลง และเริ่มสลายตัว

    9. ลดน้ำหนักเร็วเกินไป

    การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วด้วยการลดแคลอรีอย่างมาก อาจทำให้ร่างกายสลายกล้ามเนื้อเพื่อใช้เป็นพลังงานแทนการสลายไขมัน

    10. ไม่ดื่มน้ำเพียงพอ

    การดื่มน้ำน้อยเกินไปทำให้กระบวนการเผาผลาญและซ่อมแซมกล้ามเนื้อทำงานได้ไม่เต็มที่ ร่างกายจึงสลายกล้ามเนื้อเพื่อรักษาระดับพลังงาน


    สรุป
    พฤติกรรมเหล่านี้อาจทำให้คุณสูญเสียกล้ามเนื้อโดยไม่รู้ตัว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและให้ความสำคัญกับการพักผ่อน การรับประทานอาหารที่มีคุณค่า และการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม จะช่วยรักษากล้ามเนื้อและเพิ่มความแข็งแรงให้กับร่างกายของคุณได้อย่างยั่งยืน

    น้ำมะพร้าว VS น้ำกะทิ แบบไหนมีประโยชน์มากกว่ากัน

    น้ำมะพร้าว VS น้ำกะทิ แบบไหนมีประโยชน์มากกว่ากัน


    น้ำมะพร้าว
     กับ น้ำกะทิ
     แม้ทั้งสองอย่างจะมีต้นกำเนิดจากมะพร้าวเหมือนกัน แต่คุณสมบัติและประโยชน์แตกต่างกันอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของสุขภาพ หรือการนำมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน มาดูกันว่าทั้งสองชนิดนี้แตกต่างกันอย่างไร และควรเลือกแบบไหนถึงจะมีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า

    น้ำมะพร้าว: ความสดชื่นจากธรรมชาติ

    น้ำมะพร้าว เป็นของเหลวที่ได้จากมะพร้าวอ่อน ให้รสชาติหอมหวานสดชื่น น้ำมะพร้าวอุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย เช่น โพแทสเซียม แมกนีเซียม วิตามินซี และแร่ธาตุต่างๆ น้ำมะพร้าวยังช่วยในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยในการขับสารพิษออกจากร่างกาย และให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง

    นอกจากนี้ น้ำมะพร้าวยังถูกยกย่องว่าเป็น “เครื่องดื่มฟื้นฟูร่างกาย” หลังการออกกำลังกาย เนื่องจากช่วยคืนความสมดุลของน้ำในร่างกายได้ดี ทั้งยังเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก เพราะแคลอรีต่ำและไขมันน้อย

    น้ำกะทิ: คุณค่าในครัว แต่ไขมันสูง

    น้ำกะทิ เกิดจากการคั้นเนื้อมะพร้าวแก่ ผสมกับน้ำให้เข้ากันเพื่อให้ได้น้ำข้นๆ สีขาวครีมที่นิยมใช้ในอาหารคาวหวานหลายชนิด น้ำกะทิมีส่วนประกอบของไขมันอิ่มตัวสูง ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อร่างกายในการสร้างพลังงานและให้ความอบอุ่น แต่หากบริโภคมากเกินไปก็อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและคอเลสเตอรอลสูง

    น้ำกะทิยังมีสารอาหารสำคัญ เช่น กรดลอริก ซึ่งช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน แต่ปริมาณไขมันที่สูงทำให้ควรบริโภคอย่างระมัดระวัง

    เปรียบเทียบประโยชน์: น้ำมะพร้าว vs น้ำกะทิ

    • น้ำมะพร้าว เหมาะสำหรับการดื่มเพื่อความสดชื่นและเพิ่มสารอาหารให้แก่ร่างกาย มีแคลอรีต่ำและเหมาะกับการดูแลสุขภาพ
    • น้ำกะทิ มีประโยชน์ต่อการประกอบอาหารและเสริมสร้างพลังงาน แต่ควรบริโภคอย่างพอดี เนื่องจากมีไขมันอิ่มตัวสูง

    สรุป: ควรเลือกอะไรดี?

    ทั้ง น้ำมะพร้าว และ น้ำกะทิ มีประโยชน์ในแบบของตัวเอง น้ำมะพร้าวเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการดื่มเพื่อสุขภาพประจำวัน ในขณะที่น้ำกะทิเป็นส่วนประกอบสำคัญในอาหารไทย ควรเลือกบริโภคอย่างสมดุลเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด


    เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

    ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

    คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

    ยอมรับทั้งหมด
    จัดการความเป็นส่วนตัว
    • เปิดใช้งานตลอด

    บันทึกการตั้งค่า