ข่าวสารวันนี้

ส่องข่าวสาร แวดวงการเมือง อัปเดตรายวัน

    องุ่นแดง องุ่นเขียว ต่างกันอย่างไร? รู้ไว้ กินให้ถูกโรค

    องุ่นแดง องุ่นเขียว

    องุ่นแดง องุ่นเขียว ต่างกันอย่างไร? รู้ไว้ กินให้ถูกโรค

    องุ่น ผลไม้สีสวย รสชาติหวานอมเปรี้ยว ที่หลายคนชื่นชอบ นอกจากจะอร่อยแล้ว องุ่นยังอุดมไปด้วยสารอาหารมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่รู้หรือไม่ว่า องุ่นแต่ละสีนั้นมีคุณสมบัติและสรรพคุณที่แตกต่างกันไป วันนี้เราจะพาคุณไปไขข้อข้องใจเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่าง องุ่นแดง และ องุ่นเขียว ว่ามีอะไรบ้าง

    ความแตกต่างระหว่าง องุ่นแดง และ องุ่นเขียว

    องุ่นแดง

    องุ่นแดง มีสีแดงเข้มสวยงาม อันเนื่องมาจากสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากความเสียหาย และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคเกี่ยวกับระบบประสาท

    คุณสมบัติเด่นขององุ่นแดง:

    • ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ: สารแอนโทไซยานินในองุ่นแดงช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ ลดความดันโลหิต และป้องกันการเกิดลิ่มเลือด
    • ชะลอความเสื่อมของสมอง: สารต้านอนุมูลอิสระในองุ่นแดงช่วยปกป้องเซลล์ประสาทและชะลอการเสื่อมของสมอง
    • ต้านการอักเสบ: ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ลดอาการปวดเมื่อย
    • บำรุงสายตา: สารเบต้าแคโรทีนช่วยบำรุงสายตา ป้องกันโรคต้อกระจก

    องุ่นเขียว

    องุ่นเขียว มีรสชาติหวานอมเปรี้ยวสดชื่น และมีปริมาณน้ำตาลน้อยกว่าองุ่นแดง อุดมไปด้วยวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น กรดเฟรูลิก (Ferulic acid)

    คุณสมบัติเด่นขององุ่นเขียว:

    • ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานหรือผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
    • บำรุงผิวพรรณ: วิตามินซีช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส และช่วยในการสร้างคอลลาเจน
    • เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน: วิตามินซีช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันการติดเชื้อ
    • ช่วยย่อยอาหาร: ใยอาหารในองุ่นเขียวช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบขับถ่าย

    สรุป

    ทั้งองุ่นแดงและองุ่นเขียวต่างมีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพที่แตกต่างกันออกไป การเลือกทานองุ่นชนิดใดขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวและสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล

    วันหยุดราชการ

    วันหยุดราชการ 2567: เตรียมตัวพักผ่อนกันให้เต็มที่!

    ปี 2567 นี้ มีวันหยุดราชการให้เราได้พักผ่อนกันหลายวันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นวันหยุดประจำปี วันหยุดชดเชย หรือวันหยุดพิเศษต่างๆ มาดูกันว่าปีนี้มีวันหยุดอะไรบ้าง และมีวันหยุดยาวช่วงไหนที่น่าสนใจ

    สรุปวันหยุดราชการปี 2567

    เดือนวันที่ชื่อวันหยุด
    มกราคม1วันขึ้นปีใหม่
    กุมภาพันธ์ไม่มีวันหยุดราชการ
    มีนาคมไม่มีวันหยุดราชการ
    เมษายน6-7วันสงกรานต์
    พฤษภาคมไม่มีวันหยุดราชการ
    มิถุนายน3วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี
    กรกฎาคม28-29วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    สิงหาคมไม่มีวันหยุดราชการ
    กันยายนไม่มีวันหยุดราชการ
    ตุลาคม23วันปิยมหาราช
    พฤศจิกายนไม่มีวันหยุดราชการ
    ธันวาคม5วันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช

    วันหยุดยาวที่น่าสนใจ

    • สงกรานต์: ปีนี้ตรงกับวันที่ 6-7 เมษายน เป็นช่วงเวลาที่หลายคนรอคอยที่จะได้กลับบ้านไปรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่
    • วันเฉลิมพระชนมพรรษา: ทั้งวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำให้มีวันหยุดติดต่อกันหลายวัน
    • วันปิยมหาราช: เป็นอีกหนึ่งวันหยุดที่หลายคนใช้เป็นโอกาสในการพักผ่อน

    เคล็ดลับการวางแผนวันหยุด

    • เช็คปฏิทินล่วงหน้า: เพื่อวางแผนการเดินทางและกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างสะดวก
    • จองตั๋วและที่พักล่วงหน้า: โดยเฉพาะช่วงวันหยุดยาว เพื่อป้องกันการพลาดโอกาสและราคาที่สูงขึ้น
    • เลือกสถานที่ท่องเที่ยว: หาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และวางแผนเส้นทางการเดินทาง
    • เตรียมตัวให้พร้อม: เช่น เตรียมเสื้อผ้าให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ และเตรียมเอกสารสำคัญต่างๆ

    หมายเหตุ: วันหยุดราชการอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับประกาศอย่างเป็นทางการ

    ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับวันหยุดนะคะ!

    วิธีเลือกอะโวคาโด

    วิธีเลือกอะโวคาโดให้ได้ผลสุกกำลังดี อร่อยถูกใจ

    อะโวคาโด ผลไม้สุดฮิตที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ด้วยเนื้อสัมผัสเนียนนุ่ม รสชาติมันๆ หอมละมุน และมีประโยชน์ต่อสุขภาพสูง แต่หลายคนก็ยังสับสนในการเลือกซื้ออะโวคาโดให้ได้ผลที่สุกกำลังดี วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจ และเผยเคล็ดลับในการเลือกซื้ออะโวคาโดให้ได้ผลที่อร่อยถูกใจกันค่ะ

    วิธีเลือกอะโวคาโด

    • สังเกตสี: ผลอะโวคาโดที่สุกกำลังดีจะมีเปลือกสีเขียวเข้ม หรืออาจมีสีม่วงอมดำเล็กน้อย โดยเฉพาะบริเวณใกล้ขั้วผล
    • สัมผัส: กดเบาๆ ที่ผลอะโวคาโด ถ้ารู้สึกนิ่มเล็กน้อยทั่วผล แสดงว่าสุกกำลังดี หากแข็งมากแสดงว่ายังดิบอยู่ แต่ถ้ากดแล้วบุ๋มลงไปมาก แสดงว่าสุกเกินไป เนื้ออาจจะเละได้
    • ดูที่ขั้ว: ขั้วผลอะโวคาโดที่สุกจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล และเมื่อกดเบาๆ จะรู้สึกนิ่ม
    • เขย่า: ลองเขย่าผลอะโวคาโดเบาๆ ถ้าได้ยินเสียงเมล็ดขยับภายใน แสดงว่าสุกกำลังดี แต่ถ้าเงียบสนิทอาจจะยังดิบอยู่
    • สังเกตขนาด: ผลอะโวคาโดที่มีขนาดใหญ่ มักจะมีเนื้อเยอะกว่าผลเล็ก
    • หลีกเลี่ยงผลที่มีรอยช้ำ: ผลอะโวคาโดที่มีรอยช้ำ รอยบุบ หรือรอยด่าง จะมีรสชาติไม่อร่อย และอาจเน่าเสียได้เร็ว

    เคล็ดลับการเร่งให้อะโวคาโดสุกเร็วขึ้น

    • วิธีที่ 1: ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์: ห่อผลอะโวคาโดด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ แล้วเก็บไว้ในที่อุณหภูมิห้องประมาณ 1-2 วัน เอทิลีนที่ปล่อยออกมาจากผลไม้จะช่วยเร่งให้สุกเร็วขึ้น
    • วิธีที่ 2: ใช้กล้วย: วางผลอะโวคาโดไว้ใกล้ๆ กล้วยสุก กล้วยจะปล่อยแก๊สเอทิลีนออกมา ช่วยเร่งให้อะโวคาโดสุกเร็วขึ้น
    • วิธีที่ 3: ใช้เตาอบ: อุ่นเตาอบที่อุณหภูมิต่ำ ประมาณ 100 องศาเซลเซียส วางผลอะโวคาโดบนถาด แล้วอบประมาณ 10-15 นาที วิธีนี้จะช่วยให้เนื้ออะโวคาโดนิ่มเร็วขึ้น

    วิธีเก็บรักษาอะโวคาโดให้สด

    • อะโวคาโดที่ยังไม่สุก: เก็บไว้ในที่อุณหภูมิห้อง
    • อะโวคาโดที่สุกแล้ว: หากยังไม่พร้อมทาน สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นช่องผักได้ แต่เนื้อจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลได้เร็วขึ้น
    • อะโวคาโดที่หั่นแล้ว: หากหั่นอะโวคาโดออกมาแล้วทานไม่หมด สามารถเก็บไว้ในตู้เย็น โดยห่อด้วยพลาสติกแรปให้แน่นๆ หรือจะราดด้วยน้ำมะนาวเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อเปลี่ยนสี

    เคล็ดลับเพิ่มเติม:

    • หากต้องการให้อะโวคาโดสุกช้าลง สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นช่องผักได้
    • อะโวคาโดที่สุกกำลังดี จะมีเนื้อสีเหลืองอ่อน หรือสีเขียวอ่อน เนื้อนุ่ม และมีรสชาติมันๆ หอมละมุน
    ใบบัวบก โทษ

    ใบบัวบก สมุนไพรยอดนิยม แต่มีโทษที่ควรรู้

    ใบบัวบกเป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีสรรพคุณทางยาที่หลากหลาย อาทิ ช่วยบำรุงสมอง เพิ่มความจำ แก้ปัญหาผิว และลดอาการอักเสบ ทำให้มีการนำใบบัวบกมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นอาหารเสริม เครื่องสำอาง หรือผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ

    แต่ทราบหรือไม่ว่า ใบบัวบกก็มีโทษที่อาจเกิดขึ้นได้หากบริโภคในปริมาณที่มากเกินไป หรือผู้ที่มีสภาวะสุขภาพบางอย่าง

    โทษของใบบัวบก

    • ผลกระทบต่อระบบประสาท: แม้ว่าใบบัวบกจะช่วยบำรุงสมอง แต่การบริโภคในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน และง่วงซึมได้
    • กดระบบประสาทส่วนกลาง: ใบบัวบกมีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง หากใช้ร่วมกับยาที่มีฤทธิ์กดประสาท เช่น ยานอนหลับ ยาแก้ปวด อาจทำให้เกิดอาการง่วงซึมมากเกินไป และส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาท
    • ลดความดันโลหิต: ใบบัวบกมีฤทธิ์ช่วยลดความดันโลหิต ผู้ป่วยความดันโลหิตต่ำ หรือผู้ที่กำลังรับประทานยาลดความดันโลหิต ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานใบบัวบก
    • เพิ่มความเสี่ยงเลือดออก: ใบบัวบกมีฤทธิ์ต่อต้านการแข็งตัวของเลือด ผู้ที่กำลังรับประทานยาละลายลิ่มเลือด หรือมีแผลเปิด ควรระมัดระวังในการใช้ใบบัวบก
    • ปฏิกิริยาระหว่างยา: ใบบัวบกอาจมีปฏิกิริยากับยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด ยาต้านเชื้อรา และยาต้านการอักเสบไม่สเตียรอยด์ จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้

    ใครบ้างที่ไม่ควรรับประทานใบบัวบก

    • หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร: เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลเพียงพอเกี่ยวกับผลกระทบของใบบัวบกต่อทารกในครรภ์และทารกแรกเกิด
    • ผู้ป่วยโรคตับและไต: ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับและไต ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
    • ผู้ที่กำลังจะเข้ารับการผ่าตัด: ควรหยุดรับประทานใบบัวบกก่อนการผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออก
    • ผู้ที่แพ้ใบบัวบก: ผู้ที่แพ้ใบบัวบก อาจมีอาการแพ้ เช่น ผื่นคัน บวม

    ข้อควรระวังในการใช้ใบบัวบก

    • ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร: ก่อนใช้ใบบัวบก ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล
    • อ่านฉลากอย่างละเอียด: ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของใบบัวบก ควรอ่านฉลากอย่างละเอียด เพื่อตรวจสอบปริมาณที่เหมาะสมและข้อควรระวัง
    • ไม่ควรใช้ใบบัวบกเกินขนาดที่กำหนด: การใช้ใบบัวบกในปริมาณที่มากเกินไป อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้
    • หยุดใช้ทันทีหากมีอาการผิดปกติ: หากมีอาการผิดปกติหลังจากรับประทานใบบัวบก ควรหยุดใช้ทันที และปรึกษาแพทย์

    สรุป ใบบัวบกเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีโทษของใบบัวบกที่อาจเกิดขึ้นได้หากใช้ไม่ถูกวิธี การใช้ใบบัวบกอย่างปลอดภัยควรอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ

    คอลลาเจน โทษ

    โทษของคอลลาเจน ด้านมืดที่คุณอาจไม่เคยรู้

    คอลลาเจน เป็นโปรตีนที่ได้รับความนิยมอย่างมากในวงการความงามและสุขภาพ เนื่องจากเชื่อกันว่าช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง ชะลอวัย และบำรุงข้อต่อให้แข็งแรง แต่ทว่า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจนก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่เราควรพิจารณาให้รอบคอบ

    ข้อดีของคอลลาเจน

    • บำรุงผิวพรรณ: ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ลดเลือนริ้วรอย และทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์
    • บำรุงข้อต่อ: ช่วยลดอาการปวดข้อ บำรุงกระดูกอ่อน และเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อ
    • บำรุงผมและเล็บ: ช่วยให้ผมและเล็บแข็งแรงขึ้น ลดปัญหาผมขาดและเล็บเปราะ
    • ช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อ: คอลลาเจนเป็นส่วนประกอบสำคัญของกล้ามเนื้อ ช่วยในการซ่อมแซมและสร้างกล้ามเนื้อใหม่

    ผลข้างเคียงและโทษของคอลลาเจน

    แม้ว่าคอลลาเจนจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีข้อควรระวังและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนี้

    • ผลข้างเคียง: การรับประทานคอลลาเจนอาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง และปฏิกิริยาแพ้ในบางราย
    • ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพียงพอ: แม้จะมีการศึกษาเกี่ยวกับคอลลาเจนมามากมาย แต่ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนและเพียงพอที่จะยืนยันประสิทธิภาพในการรักษาโรคต่างๆ
    • ราคาสูง: ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจนส่วนใหญ่มีราคาค่อนข้างสูง อาจเป็นภาระทางการเงินสำหรับบางคน
    • ไม่เหมาะสำหรับทุกคน: ผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือแพ้อาหารทะเล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานคอลลาเจน

    สรุป

    คอลลาเจนเป็นสารอาหารที่เป็นที่นิยมและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ก่อนที่จะตัดสินใจรับประทาน ควรพิจารณาประโยชน์และโทษของคอลลาเจนให้ดี และปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้คำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของตนเอง

    เมนูอาหารเจ

    อาหารเจ ทำเองง่ายๆ อร่อยครบรส ไม่ต้องง้อร้าน

    เทศกาลกินเจใกล้เข้ามาแล้ว หลายคนคงกำลังมองหาเมนูอาหารเจแสนอร่อยทำทานเองที่บ้านใช่ไหมคะ? ไม่ต้องกังวลไปค่ะ วันนี้เรามีเมนูอาหารเจง่ายๆ ที่ทำตามได้ไม่ยาก มาฝากกันหลายเมนูเลยทีเดียว รับรองว่าอร่อยถูกปากแน่นอน

    ทำไมต้องทำอาหารเจกินเอง?

    • ควบคุมวัตถุดิบ: เลือกวัตถุดิบที่สดใหม่ ปลอดสารพิษ ได้ตามใจชอบ
    • อร่อยและมีประโยชน์: ปรุงรสชาติได้ตามชอบ เน้นผักสด ผลไม้ และโปรตีนจากพืช
    • ประหยัดค่าใช้จ่าย: ทำเองได้ในปริมาณที่ต้องการ ไม่ต้องซื้อแพง
    • สนุกกับการทำอาหาร: ได้เรียนรู้สูตรอาหารใหม่ๆ และสร้างสรรค์เมนูได้หลากหลาย

    เมนูอาหารเจง่ายๆ ทำเองได้ที่บ้าน

    • ผัดผักรวมมิตร: เมนูเบสิคที่ทำง่าย เพียงแค่เตรียมผักหลากสีสัน เช่น แครอท ฟักทอง ถั่วฝักยาว ผัดกับซอสปรุงรสเจ ก็อร่อยแล้ว
    • ต้มจืดเต้าหู้: เมนูสุขภาพ อิ่มท้อง ด้วยเต้าหู้เนื้อนุ่ม ผักกาดขาว เห็ดหอม ต้มกับน้ำซุปใสๆ ปรุงรสด้วยซอสปรุงรสเจ
    • ผัดกระเพราเต้าหู้: เมนูสุดฮิตที่ทำเป็นเจได้ เพียงแค่เปลี่ยนเนื้อสัตว์เป็นเต้าหู้หมัก หรือโปรตีนเกษตร ผัดกับพริกแกงเขียวหวานเจ
    • แกงเขียวหวานเจ: เมนูแกงรสจัดจ้าน หอมเครื่องแกงเขียวหวาน ใช้เต้าหู้ หรือเห็ดแทนเนื้อสัตว์
    • ผัดไทยเจ: เมนูเส้นยอดนิยม เพียงแค่เปลี่ยนเส้นหมี่เป็นเส้นจันท์ หรือเส้นก๋วยเตี๋ยวหลอด แล้วผัดกับซอสผัดไทยเจ
    • ข้าวผัดเจ: ข้าวสวยร้อนๆ ผัดกับผักหลากสีสัน และไข่เจ
    • ส้มตำเจ: เปรี้ยว เผ็ด เค็ม หวาน ครบรส สดชื่น
    • ยำวุ้นเส้นเจ: วุ้นเส้นเหนียวนุ่ม คลุกเคล้ากับน้ำยำรสเด็ด

    เคล็ดลับการทำอาหารเจให้อร่อย

    • เลือกวัตถุดิบสดใหม่: วัตถุดิบสดใหม่จะช่วยให้อาหารมีรสชาติอร่อย
    • ปรุงรสด้วยสมุนไพร: ใช้สมุนไพรไทย เช่น ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมและรสชาติ
    • ใช้เครื่องปรุงรสเจ: มีจำหน่ายมากมายหลากหลายชนิด เช่น ซอสปรุงรสเจ น้ำปลาเจ ซีอิ๊วขาวเจ
    • สร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ: ลองปรับเปลี่ยนสูตรอาหารเดิมๆ ให้เป็นเมนูเจ

    ตัวอย่างสูตรอาหารเจ ผัดผักรวมมิตร

    วัตถุดิบ

    • ผักรวมมิตร (แครอท, ฟักทอง, ถั่วฝักยาว, กะหล่ำปลี)
    • เห็ด
    • น้ำมันพืช
    • ซอสปรุงรสเจ
    • น้ำตาลทราย
    • พริกไทย

    วิธีทำ

    1. หั่นผักและเห็ดเป็นชิ้นพอคำ
    2. ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืช พอร้อนนำผักลงผัดจนสุก
    3. ปรุงรสด้วยซอสปรุงรสเจ น้ำตาลทราย และพริกไทย ชิมรสตามชอบ
    4. ตักเสิร์ฟ

    เพียงเท่านี้ก็ได้เมนูอาหารเจอร่อยๆ ทานเองที่บ้านแล้วค่ะ ลองทำตามสูตรนี้ หรือจะปรับเปลี่ยนวัตถุดิบตามชอบก็ได้นะคะ

    ไฟไหม้รสบัส

    โศกนาฏกรรม! ไฟไหม้รถบัสนักเรียน ดับ 23 ชีวิต ถังแก๊ส 15 ปี ตรวจสอบสาเหตุเร่งด่วน

    เหตุการณ์สลดใจเกิดขึ้นเมื่อรถบัสทัศนศึกษาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาจากโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จังหวัดอุทัยธานี เกิดไฟไหม้ขณะเดินทางบนถนนพหลโยธิน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 23 ราย ประกอบด้วยนักเรียน 20 คน และครูอีก 3 คน เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความโศกเศร้าให้กับครอบครัวผู้สูญเสียและสังคมไทยเป็นอย่างมาก

    จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่ารถบัสคันเกิดเหตุใช้แก๊ส NGV ซึ่งมีอายุการใช้งานถึง 15 ปีแล้ว และกำลังจะหมดอายุในปี 2569 อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่แท้จริงของการเกิดไฟไหม้รสบัสยังอยู่ระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ…

    โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

    โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด: ความรู้เบื้องต้นที่คุณควรรู้

    โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดคืออะไร?

    โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (Congenital heart disease) คือภาวะที่หัวใจและหลอดเลือดใหญ่มีโครงสร้างผิดปกติตั้งแต่เกิด ซึ่งเกิดจากความผิดพลาดในการเจริญเติบโตของหัวใจในช่วงที่ทารกอยู่ในครรภ์ โรคนี้สามารถพบได้ในทารกแรกเกิดทุก 100 คน และมีหลากหลายรูปแบบความรุนแรง

    สาเหตุของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

    สาเหตุที่แน่ชัดของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ปัจจัยเสี่ยงบางประการที่อาจเกี่ยวข้อง ได้แก่

    • พันธุกรรม: มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
    • ปัจจัยสิ่งแวดล้อม: การติดเชื้อในระหว่างตั้งครรภ์ การได้รับสารพิษ เช่น ยาบางชนิด แอลกอฮอล์ หรือสารเสพติด
    • โรคประจำตัวของมารดา: โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคติดเชื้อบางชนิด

    อาการของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

    อาการของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของโรค แต่โดยทั่วไปอาจพบอาการดังนี้

    • หายใจลำบาก: หายใจเร็ว หอบเหนื่อย
    • สีผิวซีด: โดยเฉพาะบริเวณริมฝีปากและเล็บ
    • เหนื่อยง่าย: แม้จะทำกิจวัตรประจำวัน
    • น้ำหนักตัวไม่ขึ้น: เด็กเติบโตช้า
    • หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
    • บวม: ที่ขาหรือท้อง

    การวินิจฉัยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

    แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดได้โดยอาศัยประวัติการเจ็บป่วย การตรวจร่างกาย และการตรวจเพิ่มเติม เช่น

    • ฟังเสียงหัวใจ: แพทย์จะใช้หูฟังเพื่อฟังเสียงผิดปกติของหัวใจ
    • เอกซเรย์ทรวงอก: เพื่อดูขนาดและรูปร่างของหัวใจ
    • คลื่นไฟฟ้าหัวใจ: เพื่อตรวจสอบการทำงานของไฟฟ้าในหัวใจ
    • อัลตราซาวด์หัวใจ: เป็นการตรวจที่สำคัญที่สุดในการวินิจฉัยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
    • การสวนหัวใจ: เพื่อตรวจสอบโครงสร้างของหัวใจโดยละเอียด

    การรักษาโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

    การรักษาโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดจะขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของโรค โดยอาจรักษาด้วย

    • ยา: เพื่อควบคุมอาการและลดความดันในหลอดเลือด
    • การผ่าตัด: เพื่อแก้ไขความผิดปกติของโครงสร้างหัวใจ

    การดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

    ผู้ป่วยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดจำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ โดยอาจต้องได้รับยาตามที่แพทย์สั่ง และเข้ารับการตรวจสุขภาพตามนัดหมายอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ผู้ปกครองควรให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพทั่วไปของเด็ก เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกาย และการพักผ่อนให้เพียงพอ

    คำแนะนำสำหรับผู้ปกครอง:

    • ปรึกษาแพทย์: หากสงสัยว่าบุตรหลานมีอาการของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง
    • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์: ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
    • ดูแลสุขภาพของบุตรหลาน: ให้บุตรหลานได้รับวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ ตามกำหนด
    • ให้กำลังใจบุตรหลาน: สร้างความเข้าใจและให้กำลังใจบุตรหลานอยู่เสมอ

    หมายเหตุ: ข้อมูลนี้เป็นเพียงข้อมูลทั่วไป ไม่สามารถใช้ทดแทนคำแนะนำจากแพทย์ได้ ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

    เลขเด็ดงวดนี้ 1/10/67 มาจากไหน? วิเคราะห์จากสถิติหวยออกวันอังคาร

    เลขเด็ดงวดนี้ 1/10/67 มาจากไหน? วิเคราะห์จากสถิติหวยออกวันอังคาร

    การวิเคราะห์เลขหวยจากสถิติหวยที่ออกในวันอังคารย้อนหลัง 10 ปี เป็นหนึ่งในวิธีการที่คอหวยนิยมใช้ในการทำนายเลขเด็ดงวดต่อไป โดยสำหรับงวดวันที่ 1/10/67 นี้ เราได้รวบรวมข้อมูลสถิติหวยออกวันอังคารเพื่อช่วยให้คุณวิเคราะห์เลขที่น่าจะออกได้อย่างแม่นยำขึ้น

    สถิติหวยออกวันอังคารย้อนหลัง 10 ปี

    จากการรวบรวมสถิติหวยที่ออกในวันอังคารตลอด 10 ปี พบว่าเลข 2 ตัวท้ายที่ออกบ่อย ได้แก่

    • เลข 12, 56, 89 มีการออกซ้ำหลายครั้งในปีต่าง ๆ
    • เลขท้าย 3 ตัวที่ออกบ่อย ได้แก่ 456, 789, 123 ซึ่งเป็นตัวเลขที่มักจะปรากฏในวันอังคาร

    เช็กเลขเด็ดงวด 1/10/67

    จากการวิเคราะห์สถิติที่ผ่านมาพบว่าเลขที่น่าจะเป็นเลขเด็ดในงวดนี้คือ 12, 34, 89 ซึ่งมีแนวโน้มที่จะออกในหวยงวดวันที่ 1/10/67 เนื่องจากเป็นเลขที่เคยออกซ้ำในหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา โดยการเช็กสถิติเลขซ้ำยังเป็นการเพิ่มโอกาสให้คุณได้เลือกเลขที่มีความเป็นไปได้สูง

    วิธีการวิเคราะห์สถิติหวยและใช้ให้เกิดประโยชน์

    การดูสถิติย้อนหลังเพื่อเลือกเลขเด็ดถือเป็นเทคนิคที่ช่วยให้ผู้เล่นมีแนวทางในการเลือกเลขได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่าการเล่นหวยมีความเสี่ยง ควรเล่นอย่างมีวิจารณญาณและไม่ควรเสี่ยงเกินไป

    มายด์ใน เกมรักปาฏิหาริย์ EP.1 จะเดินทางในเส้นทางไหนหลังเจอความจริงสุดช็อก

    มายด์ใน เกมรักปาฏิหาริย์ EP.1 จะเดินทางในเส้นทางไหนหลังเจอความจริงสุดช็อก

    เกมรักปาฏิหาริย์ EP.1 เริ่มต้นด้วยการนำเสนอเรื่องราวของ “มายด์” หญิงสาวที่ชีวิตกำลังเผชิญกับช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ มายด์เป็นตัวแทนของคนที่กำลังค้นหาความหมายในชีวิต เธอมีหน้าที่การงานที่มั่นคงและความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนจะราบรื่น แต่ภายในเธอกลับต้องต่อสู้กับความรู้สึกที่ไม่แน่ใจเกี่ยวกับอนาคต

    จุดพลิกผันในเรื่องเกิดขึ้นเมื่อเธอได้รู้ความจริงบางอย่างที่ทำให้ทุกสิ่งที่เธอเชื่อพังทลาย มันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ทำให้มายด์ต้องตัดสินใจว่าจะเดินต่อไปในเส้นทางไหน การเลือกของเธอไม่เพียงแต่จะส่งผลต่อตัวเธอเอง แต่ยังรวมถึงคนรอบข้างอีกด้วย

    การต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงและความรัก เป็นหัวใจหลักของเรื่องในตอนนี้ การเดินทางของมายด์ในตอนแรกเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการท้าทายครั้งใหญ่ในชีวิตเธอ


    เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

    ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

    คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

    ยอมรับทั้งหมด
    จัดการความเป็นส่วนตัว
    • เปิดใช้งานตลอด

    บันทึกการตั้งค่า