ข่าวสารวันนี้

ส่องข่าวสาร แวดวงการเมือง อัปเดตรายวัน

    Category Archive : ผู้หญิง

    สูตรไข่ดองน้ำปลา

    สูตรไข่ดองน้ำปลา ทำง่าย อร่อยถึงใจ!

    ไข่ดองน้ำปลา เมนูทานเล่นสุดคลาสสิก ที่ใครๆ ก็ทำได้ แถมยังอร่อยถูกปากอีกด้วยค่ะ วิธีทำก็ง่ายนิดเดียว แค่มีส่วนผสมไม่กี่อย่างก็สามารถทำได้ที่บ้านแล้ว มาดูสูตรและขั้นตอนการทำกันเลยค่ะ

    ส่วนผสมทำไข่ดองน้ำปลา

    • ไข่ไก่สด
    • น้ำปลา
    • น้ำตาลปี๊บ
    • น้ำเปล่า
    • กระเทียม (สำหรับโรยหน้า)
    • พริกขี้หนู (สำหรับโรยหน้า)
    • หอมแดง (สำหรับโรยหน้า)
    • น้ำมะนาว (สำหรับโรยหน้า)

    อุปกรณ์

    • หม้อ
    • ช้อน
    • ขวดโหลแก้ว

    วิธีทำไข่ดองน้ำปลา

    1. เตรียมน้ำดอง: ตวงน้ำปลา น้ำตาลปี๊บ และน้ำเปล่าใส่หม้อ คนให้เข้ากัน ตั้งไฟกลาง เคี่ยวจนน้ำตาลละลายและส่วนผสมเดือด จากนั้นปิดไฟ พักให้เย็นสนิท
    2. เตรียมไข่: ล้างไข่ไก่ให้สะอาด ตอกไข่ใส่ภาชนะที่เตรียมไว้ แยกไข่แดงออกจากไข่ขาว ทิ้งไข่ขาวไป (หรือจะนำไปทำเมนูอื่นๆ ต่อก็ได้)
    3. ดองไข่: นำไข่แดงที่แยกไว้ใส่ลงในน้ำดองที่เย็นแล้ว ปิดฝาขวดโหลให้สนิท นำไปแช่ตู้เย็นประมาณ 1 คืน หรือจนกว่าไข่แดงจะมีความหนึบตามต้องการ
    4. จัดเสิร์ฟ: นำไข่ดองออกจากตู้เย็น ตักใส่จาน โรยหน้าด้วยกระเทียม พริกขี้หนู หอมแดงซอย และบีบน้ำมะนาวเล็กน้อย ก่อนเสิร์ฟ

    เคล็ดลับสูตรไข่ดองน้ำปลาเด็ด

    • เลือกไข่ไก่สด: เพื่อให้ได้ไข่ดองที่มีคุณภาพดี
    • น้ำดอง: ปรับปริมาณน้ำปลา น้ำตาล และน้ำเปล่าได้ตามชอบ เพื่อให้ได้รสชาติที่ถูกปาก
    • ระยะเวลาการดอง: ปรับระยะเวลาการดองได้ตามความชอบ หากต้องการไข่แดงที่หนึบมากขึ้น สามารถดองทิ้งไว้ได้นานขึ้น
    • น้ำจิ้ม: นอกจากจะรับประทานไข่ดองเปล่าๆ แล้ว สามารถทานคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ด หรือน้ำจิ้มพริกก็อร่อย

    ไข่ดองน้ำปลา เป็นเมนูที่ทำง่าย ใช้เวลาไม่นาน แต่ได้รสชาติที่อร่อย กลมกล่อม เหมาะสำหรับทานเป็นอาหารว่าง หรือทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ ก็อร่อยไม่แพ้กัน ลองทำตามสูตรนี้ดูนะคะ รับรองว่าติดใจแน่นอน

    คำแนะนำเพิ่มเติม:

    • ความปลอดภัย: ควรเลือกภาชนะที่สะอาดในการทำไข่ดอง และควรเก็บไข่ดองในตู้เย็นเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา
    • วัตถุดิบอื่นๆ: สามารถเพิ่มวัตถุดิบอื่นๆ ลงไปในน้ำดองได้ เช่น ใบเตย หรือสมุนไพรชนิดอื่นๆ เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมและรสชาติที่หลากหลาย
    • การปรับรสชาติ: หากต้องการรสชาติที่เผ็ดมากขึ้น สามารถเพิ่มปริมาณพริกขี้หนูได้ หรือหากต้องการรสชาติที่หวานน้อยลง สามารถลดปริมาณน้ำตาลได้

    ขอให้สนุกกับการทำอาหารนะคะ!

    ดื่มกาแฟ ดีไหม

    ดื่มกาแฟ ดีไหม? รู้จักประโยชน์และโทษของกาแฟให้มากขึ้น

    กาแฟ เครื่องดื่มยอดนิยมที่หลายคนขาดไม่ได้ในตอนเช้า หรือแม้แต่ตลอดทั้งวัน แต่หลายคนก็ยังสงสัยว่าการดื่มกาแฟดีไหม ดื่มกาแฟบ่อย ๆ นั้นดีต่อสุขภาพหรือไม่? วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับประโยชน์และโทษของกาแฟกัน

    ประโยชน์ของกาแฟ

    • เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า: คาเฟอีนในกาแฟช่วยกระตุ้นระบบประสาท ทำให้รู้สึกตื่นตัวและมีสมาธิมากขึ้น
    • ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน: การดื่มกาแฟก่อนทำงานหรือเรียน จะช่วยให้รู้สึกกระฉับกระเฉงและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    • ลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ: การศึกษาหลายชิ้นพบว่าการดื่มกาแฟในปริมาณที่พอเหมาะ อาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ เช่น โรคพาร์กินสัน โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคตับแข็ง
    • เป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ: กาแฟอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากความเสียหาย
    • ช่วยลดความเสี่ยงของโรคซึมเศร้า: การศึกษาบางชิ้นพบว่าการดื่มกาแฟอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคซึมเศร้าได้

    โทษของกาแฟ

    • ทำให้หลับยาก: คาเฟอีนในกาแฟจะไปรบกวนการนอนหลับ ทำให้หลับยากและหลับไม่สนิท หากดื่มกาแฟในปริมาณมากหรือใกล้เวลานอน
    • เพิ่มความวิตกกังวล: คาเฟอีนอาจทำให้เกิดอาการใจสั่น วิตกกังวล และกระสับกระส่ายได้
    • เพิ่มความดันโลหิต: การดื่มกาแฟอาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีความดันโลหิตสูงอยู่แล้ว
    • ทำให้กระดูกพรุน: การดื่มกาแฟมากเกินไปอาจทำให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อสุขภาพของกระดูก
    • ทำให้ท้องเสีย: คาเฟอีนอาจกระตุ้นให้ลำไส้ทำงานมากขึ้น ทำให้เกิดอาการท้องเสียได้

    ดื่มกาแฟอย่างไรให้ปลอดภัย

    • ดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ: ไม่ควรดื่มกาแฟเกิน 400 มิลลิกรัมต่อวัน หรือประมาณ 3-4 แก้ว
    • เลือกดื่มกาแฟดำ: กาแฟดำมีคาเฟอีนน้อยกว่ากาแฟที่มีส่วนผสมของนมและน้ำตาล
    • หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟก่อนนอน: ควรหยุดดื่มกาแฟอย่างน้อย 6 ชั่วโมงก่อนนอน
    • เลือกดื่มกาแฟคุณภาพดี: กาแฟคุณภาพดีจะมีรสชาติอร่อย และมีคาเฟอีนในปริมาณที่เหมาะสม

    สรุปแล้ว การดื่มกาแฟนั้นมีทั้งประโยชน์และโทษ ขึ้นอยู่กับปริมาณและสุขภาพของแต่ละบุคคล การดื่มกาแฟในปริมาณที่พอเหมาะและเลือกดื่มกาแฟคุณภาพดี จะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์จากกาแฟได้อย่างเต็มที่

    หากคุณมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะดื่มกาแฟ

    Overnight Oats คือ

    Overnight Oats อาหารเช้าสุขภาพง่าย ๆ

    Overnight Oats คืออะไร?

    Overnight Oats หรือ ข้าวโอ๊ตค้างคืน เป็นเมนูอาหารเช้าสุดฮิตที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นเมนูที่ทำง่าย อร่อย และมีประโยชน์ต่อสุขภาพสูง

    วิธีทำ Overnight Oats

    1. เตรียมส่วนผสม: ข้าวโอ๊ต นม (หรือเครื่องดื่มทางเลือกอื่น ๆ เช่น นมอัลมอนด์ นมถั่วเหลือง) โยเกิร์ต ผลไม้สดหรือแห้ง ถั่ว ธัญพืช และน้ำผึ้งหรือไซรัป
    2. ผสมส่วนผสม: ผสมข้าวโอ๊ตกับนมหรือเครื่องดื่มทางเลือกอื่น ๆ ในภาชนะที่ปิดสนิท
    3. แช่เย็น: แช่ในตู้เย็นข้ามคืน
    4. ตกแต่งและเสิร์ฟ: ในตอนเช้า นำออกมาตกแต่งด้วยผลไม้สด ถั่ว ธัญพืช และน้ำผึ้งหรือไซรัปตามชอบ

    ประโยชน์ของ Overnight Oats

    • อิ่มนาน: ข้าวโอ๊ตเป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ช่วยให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น
    • ไฟเบอร์สูง: ช่วยในการย่อยอาหารและสุขภาพลำไส้
    • โปรตีนสูง: ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
    • วิตามินและแร่ธาตุ: ผลไม้และธัญพืชที่เติมลงไปช่วยเพิ่มวิตามินและแร่ธาตุ
    • สะดวกและรวดเร็ว: สามารถเตรียมล่วงหน้าได้ ทำให้สะดวกในการรับประทานในตอนเช้า

    เคล็ดลับในการทำ Overnight Oats

    • เลือกข้าวโอ๊ต: เลือกข้าวโอ๊ตร่วนหรือข้าวโอ๊ตโรลด์
    • เลือกนมหรือเครื่องดื่มทางเลือก: เลือกชนิดที่ไม่หวานมากเกินไป
    • เพิ่มรสชาติ: เพิ่มรสชาติด้วยผลไม้สดหรือแห้ง ถั่ว ธัญพืช น้ำผึ้งหรือไซรัป
    • ปรับแต่งสูตร: ปรับสูตรให้เหมาะกับความชอบส่วนตัว
    • เก็บรักษา: เก็บรักษาในตู้เย็นไม่เกิน 2-3 วัน

    Overnight Oats เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับอาหารเช้าสุขภาพ สามารถปรับแต่งสูตรได้ตามความชอบและความต้องการทางโภชนาการ

    อาหารไขมันดี

    อาหารไขมันดี…มิตรแท้สุขภาพที่คุณควรรู้จัก

    ไขมันดี คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ?

    หลายคนมักเข้าใจผิดว่า ไขมันทั้งหมดเป็นตัวร้ายที่ก่อให้เกิดโรค แต่ความจริงแล้ว ไขมันก็มีทั้งดีและไม่ดี ไขมันดี (หรือ HDL cholesterol) มีบทบาทสำคัญในการช่วยขนส่งคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีออกจากหลอดเลือดไปทำลายที่ตับ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

    ไขมันดีมีประโยชน์อย่างไรบ้าง?

    • ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ: ไขมันดีช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีในเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรคหัวใจ
    • ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: ไขมันดีช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2
    • ช่วยบำรุงสมอง: ไขมันดีเป็นส่วนประกอบสำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ประสาท ช่วยบำรุงสมองและระบบประสาท
    • ช่วยดูดซึมวิตามิน: ไขมันดีช่วยในการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน เช่น วิตามิน A, D, E และ K

    อาหารที่มีไขมันดีสูง

    • ปลา: ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาแมคเคอเรล เป็นแหล่งของกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นไขมันดีชนิดหนึ่ง
    • ถั่ว: อัลมอนด์ วอลนัท เม็ดมะม่วงหิมพานต์ มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและเชิงซ้อนสูง
    • เมล็ดพืช: เมล็ดเจีย เมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดเชีย มีโอเมก้า 3 และไฟเบอร์สูง
    • อะโวคาโด: ผลไม้ที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูง ช่วยลดคอเลสเตอรอล
    • น้ำมันมะกอก: น้ำมันสำหรับปรุงอาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูง

    วิธีเพิ่มไขมันดีในอาหาร

    • ปรุงอาหารด้วยน้ำมันมะกอก: แทนที่การใช้น้ำมันปาล์มหรือน้ำมันทอดซ้ำ
    • เพิ่มปลาในเมนูอาหาร: กินปลาอย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์
    • ทานถั่วและเมล็ดพืชเป็นของว่าง: แทนที่ขนมขบเคี้ยว
    • ใส่อะโวคาโดในสลัด: หรือใช้แทนเนยในแซนวิช
    • ดื่มนมพร่องมันเนย: หรือโยเกิร์ต
    • ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ: เพื่อวางแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับสุขภาพของคุณ

    สรุป

    ไขมันดีเป็นส่วนประกอบสำคัญของร่างกาย การรับประทานอาหารที่มีไขมันดีอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ได้ อย่างไรก็ตาม ควรบริโภคอาหารไขมันดีในปริมาณที่เหมาะสม และหลีกเลี่ยงไขมันทรานส์ ซึ่งเป็นไขมันชนิดไม่ดีที่พบได้ในอาหารแปรรูป

    วิธีเลือกอะโวคาโด

    วิธีเลือกอะโวคาโดให้ได้ผลสุกกำลังดี อร่อยถูกใจ

    อะโวคาโด ผลไม้สุดฮิตที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ด้วยเนื้อสัมผัสเนียนนุ่ม รสชาติมันๆ หอมละมุน และมีประโยชน์ต่อสุขภาพสูง แต่หลายคนก็ยังสับสนในการเลือกซื้ออะโวคาโดให้ได้ผลที่สุกกำลังดี วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจ และเผยเคล็ดลับในการเลือกซื้ออะโวคาโดให้ได้ผลที่อร่อยถูกใจกันค่ะ

    วิธีเลือกอะโวคาโด

    • สังเกตสี: ผลอะโวคาโดที่สุกกำลังดีจะมีเปลือกสีเขียวเข้ม หรืออาจมีสีม่วงอมดำเล็กน้อย โดยเฉพาะบริเวณใกล้ขั้วผล
    • สัมผัส: กดเบาๆ ที่ผลอะโวคาโด ถ้ารู้สึกนิ่มเล็กน้อยทั่วผล แสดงว่าสุกกำลังดี หากแข็งมากแสดงว่ายังดิบอยู่ แต่ถ้ากดแล้วบุ๋มลงไปมาก แสดงว่าสุกเกินไป เนื้ออาจจะเละได้
    • ดูที่ขั้ว: ขั้วผลอะโวคาโดที่สุกจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล และเมื่อกดเบาๆ จะรู้สึกนิ่ม
    • เขย่า: ลองเขย่าผลอะโวคาโดเบาๆ ถ้าได้ยินเสียงเมล็ดขยับภายใน แสดงว่าสุกกำลังดี แต่ถ้าเงียบสนิทอาจจะยังดิบอยู่
    • สังเกตขนาด: ผลอะโวคาโดที่มีขนาดใหญ่ มักจะมีเนื้อเยอะกว่าผลเล็ก
    • หลีกเลี่ยงผลที่มีรอยช้ำ: ผลอะโวคาโดที่มีรอยช้ำ รอยบุบ หรือรอยด่าง จะมีรสชาติไม่อร่อย และอาจเน่าเสียได้เร็ว

    เคล็ดลับการเร่งให้อะโวคาโดสุกเร็วขึ้น

    • วิธีที่ 1: ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์: ห่อผลอะโวคาโดด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ แล้วเก็บไว้ในที่อุณหภูมิห้องประมาณ 1-2 วัน เอทิลีนที่ปล่อยออกมาจากผลไม้จะช่วยเร่งให้สุกเร็วขึ้น
    • วิธีที่ 2: ใช้กล้วย: วางผลอะโวคาโดไว้ใกล้ๆ กล้วยสุก กล้วยจะปล่อยแก๊สเอทิลีนออกมา ช่วยเร่งให้อะโวคาโดสุกเร็วขึ้น
    • วิธีที่ 3: ใช้เตาอบ: อุ่นเตาอบที่อุณหภูมิต่ำ ประมาณ 100 องศาเซลเซียส วางผลอะโวคาโดบนถาด แล้วอบประมาณ 10-15 นาที วิธีนี้จะช่วยให้เนื้ออะโวคาโดนิ่มเร็วขึ้น

    วิธีเก็บรักษาอะโวคาโดให้สด

    • อะโวคาโดที่ยังไม่สุก: เก็บไว้ในที่อุณหภูมิห้อง
    • อะโวคาโดที่สุกแล้ว: หากยังไม่พร้อมทาน สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นช่องผักได้ แต่เนื้อจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลได้เร็วขึ้น
    • อะโวคาโดที่หั่นแล้ว: หากหั่นอะโวคาโดออกมาแล้วทานไม่หมด สามารถเก็บไว้ในตู้เย็น โดยห่อด้วยพลาสติกแรปให้แน่นๆ หรือจะราดด้วยน้ำมะนาวเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อเปลี่ยนสี

    เคล็ดลับเพิ่มเติม:

    • หากต้องการให้อะโวคาโดสุกช้าลง สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นช่องผักได้
    • อะโวคาโดที่สุกกำลังดี จะมีเนื้อสีเหลืองอ่อน หรือสีเขียวอ่อน เนื้อนุ่ม และมีรสชาติมันๆ หอมละมุน
    ใบบัวบก โทษ

    ใบบัวบก สมุนไพรยอดนิยม แต่มีโทษที่ควรรู้

    ใบบัวบกเป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีสรรพคุณทางยาที่หลากหลาย อาทิ ช่วยบำรุงสมอง เพิ่มความจำ แก้ปัญหาผิว และลดอาการอักเสบ ทำให้มีการนำใบบัวบกมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นอาหารเสริม เครื่องสำอาง หรือผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ

    แต่ทราบหรือไม่ว่า ใบบัวบกก็มีโทษที่อาจเกิดขึ้นได้หากบริโภคในปริมาณที่มากเกินไป หรือผู้ที่มีสภาวะสุขภาพบางอย่าง

    โทษของใบบัวบก

    • ผลกระทบต่อระบบประสาท: แม้ว่าใบบัวบกจะช่วยบำรุงสมอง แต่การบริโภคในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน และง่วงซึมได้
    • กดระบบประสาทส่วนกลาง: ใบบัวบกมีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง หากใช้ร่วมกับยาที่มีฤทธิ์กดประสาท เช่น ยานอนหลับ ยาแก้ปวด อาจทำให้เกิดอาการง่วงซึมมากเกินไป และส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาท
    • ลดความดันโลหิต: ใบบัวบกมีฤทธิ์ช่วยลดความดันโลหิต ผู้ป่วยความดันโลหิตต่ำ หรือผู้ที่กำลังรับประทานยาลดความดันโลหิต ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานใบบัวบก
    • เพิ่มความเสี่ยงเลือดออก: ใบบัวบกมีฤทธิ์ต่อต้านการแข็งตัวของเลือด ผู้ที่กำลังรับประทานยาละลายลิ่มเลือด หรือมีแผลเปิด ควรระมัดระวังในการใช้ใบบัวบก
    • ปฏิกิริยาระหว่างยา: ใบบัวบกอาจมีปฏิกิริยากับยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด ยาต้านเชื้อรา และยาต้านการอักเสบไม่สเตียรอยด์ จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้

    ใครบ้างที่ไม่ควรรับประทานใบบัวบก

    • หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร: เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลเพียงพอเกี่ยวกับผลกระทบของใบบัวบกต่อทารกในครรภ์และทารกแรกเกิด
    • ผู้ป่วยโรคตับและไต: ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับและไต ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
    • ผู้ที่กำลังจะเข้ารับการผ่าตัด: ควรหยุดรับประทานใบบัวบกก่อนการผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออก
    • ผู้ที่แพ้ใบบัวบก: ผู้ที่แพ้ใบบัวบก อาจมีอาการแพ้ เช่น ผื่นคัน บวม

    ข้อควรระวังในการใช้ใบบัวบก

    • ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร: ก่อนใช้ใบบัวบก ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล
    • อ่านฉลากอย่างละเอียด: ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของใบบัวบก ควรอ่านฉลากอย่างละเอียด เพื่อตรวจสอบปริมาณที่เหมาะสมและข้อควรระวัง
    • ไม่ควรใช้ใบบัวบกเกินขนาดที่กำหนด: การใช้ใบบัวบกในปริมาณที่มากเกินไป อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้
    • หยุดใช้ทันทีหากมีอาการผิดปกติ: หากมีอาการผิดปกติหลังจากรับประทานใบบัวบก ควรหยุดใช้ทันที และปรึกษาแพทย์

    สรุป ใบบัวบกเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีโทษของใบบัวบกที่อาจเกิดขึ้นได้หากใช้ไม่ถูกวิธี การใช้ใบบัวบกอย่างปลอดภัยควรอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ

    คอลลาเจน โทษ

    โทษของคอลลาเจน ด้านมืดที่คุณอาจไม่เคยรู้

    คอลลาเจน เป็นโปรตีนที่ได้รับความนิยมอย่างมากในวงการความงามและสุขภาพ เนื่องจากเชื่อกันว่าช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง ชะลอวัย และบำรุงข้อต่อให้แข็งแรง แต่ทว่า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจนก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่เราควรพิจารณาให้รอบคอบ

    ข้อดีของคอลลาเจน

    • บำรุงผิวพรรณ: ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ลดเลือนริ้วรอย และทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์
    • บำรุงข้อต่อ: ช่วยลดอาการปวดข้อ บำรุงกระดูกอ่อน และเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อ
    • บำรุงผมและเล็บ: ช่วยให้ผมและเล็บแข็งแรงขึ้น ลดปัญหาผมขาดและเล็บเปราะ
    • ช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อ: คอลลาเจนเป็นส่วนประกอบสำคัญของกล้ามเนื้อ ช่วยในการซ่อมแซมและสร้างกล้ามเนื้อใหม่

    ผลข้างเคียงและโทษของคอลลาเจน

    แม้ว่าคอลลาเจนจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีข้อควรระวังและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนี้

    • ผลข้างเคียง: การรับประทานคอลลาเจนอาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง และปฏิกิริยาแพ้ในบางราย
    • ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพียงพอ: แม้จะมีการศึกษาเกี่ยวกับคอลลาเจนมามากมาย แต่ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนและเพียงพอที่จะยืนยันประสิทธิภาพในการรักษาโรคต่างๆ
    • ราคาสูง: ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจนส่วนใหญ่มีราคาค่อนข้างสูง อาจเป็นภาระทางการเงินสำหรับบางคน
    • ไม่เหมาะสำหรับทุกคน: ผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือแพ้อาหารทะเล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานคอลลาเจน

    สรุป

    คอลลาเจนเป็นสารอาหารที่เป็นที่นิยมและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ก่อนที่จะตัดสินใจรับประทาน ควรพิจารณาประโยชน์และโทษของคอลลาเจนให้ดี และปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้คำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของตนเอง

    เมนูอาหารเจ

    อาหารเจ ทำเองง่ายๆ อร่อยครบรส ไม่ต้องง้อร้าน

    เทศกาลกินเจใกล้เข้ามาแล้ว หลายคนคงกำลังมองหาเมนูอาหารเจแสนอร่อยทำทานเองที่บ้านใช่ไหมคะ? ไม่ต้องกังวลไปค่ะ วันนี้เรามีเมนูอาหารเจง่ายๆ ที่ทำตามได้ไม่ยาก มาฝากกันหลายเมนูเลยทีเดียว รับรองว่าอร่อยถูกปากแน่นอน

    ทำไมต้องทำอาหารเจกินเอง?

    • ควบคุมวัตถุดิบ: เลือกวัตถุดิบที่สดใหม่ ปลอดสารพิษ ได้ตามใจชอบ
    • อร่อยและมีประโยชน์: ปรุงรสชาติได้ตามชอบ เน้นผักสด ผลไม้ และโปรตีนจากพืช
    • ประหยัดค่าใช้จ่าย: ทำเองได้ในปริมาณที่ต้องการ ไม่ต้องซื้อแพง
    • สนุกกับการทำอาหาร: ได้เรียนรู้สูตรอาหารใหม่ๆ และสร้างสรรค์เมนูได้หลากหลาย

    เมนูอาหารเจง่ายๆ ทำเองได้ที่บ้าน

    • ผัดผักรวมมิตร: เมนูเบสิคที่ทำง่าย เพียงแค่เตรียมผักหลากสีสัน เช่น แครอท ฟักทอง ถั่วฝักยาว ผัดกับซอสปรุงรสเจ ก็อร่อยแล้ว
    • ต้มจืดเต้าหู้: เมนูสุขภาพ อิ่มท้อง ด้วยเต้าหู้เนื้อนุ่ม ผักกาดขาว เห็ดหอม ต้มกับน้ำซุปใสๆ ปรุงรสด้วยซอสปรุงรสเจ
    • ผัดกระเพราเต้าหู้: เมนูสุดฮิตที่ทำเป็นเจได้ เพียงแค่เปลี่ยนเนื้อสัตว์เป็นเต้าหู้หมัก หรือโปรตีนเกษตร ผัดกับพริกแกงเขียวหวานเจ
    • แกงเขียวหวานเจ: เมนูแกงรสจัดจ้าน หอมเครื่องแกงเขียวหวาน ใช้เต้าหู้ หรือเห็ดแทนเนื้อสัตว์
    • ผัดไทยเจ: เมนูเส้นยอดนิยม เพียงแค่เปลี่ยนเส้นหมี่เป็นเส้นจันท์ หรือเส้นก๋วยเตี๋ยวหลอด แล้วผัดกับซอสผัดไทยเจ
    • ข้าวผัดเจ: ข้าวสวยร้อนๆ ผัดกับผักหลากสีสัน และไข่เจ
    • ส้มตำเจ: เปรี้ยว เผ็ด เค็ม หวาน ครบรส สดชื่น
    • ยำวุ้นเส้นเจ: วุ้นเส้นเหนียวนุ่ม คลุกเคล้ากับน้ำยำรสเด็ด

    เคล็ดลับการทำอาหารเจให้อร่อย

    • เลือกวัตถุดิบสดใหม่: วัตถุดิบสดใหม่จะช่วยให้อาหารมีรสชาติอร่อย
    • ปรุงรสด้วยสมุนไพร: ใช้สมุนไพรไทย เช่น ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมและรสชาติ
    • ใช้เครื่องปรุงรสเจ: มีจำหน่ายมากมายหลากหลายชนิด เช่น ซอสปรุงรสเจ น้ำปลาเจ ซีอิ๊วขาวเจ
    • สร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ: ลองปรับเปลี่ยนสูตรอาหารเดิมๆ ให้เป็นเมนูเจ

    ตัวอย่างสูตรอาหารเจ ผัดผักรวมมิตร

    วัตถุดิบ

    • ผักรวมมิตร (แครอท, ฟักทอง, ถั่วฝักยาว, กะหล่ำปลี)
    • เห็ด
    • น้ำมันพืช
    • ซอสปรุงรสเจ
    • น้ำตาลทราย
    • พริกไทย

    วิธีทำ

    1. หั่นผักและเห็ดเป็นชิ้นพอคำ
    2. ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืช พอร้อนนำผักลงผัดจนสุก
    3. ปรุงรสด้วยซอสปรุงรสเจ น้ำตาลทราย และพริกไทย ชิมรสตามชอบ
    4. ตักเสิร์ฟ

    เพียงเท่านี้ก็ได้เมนูอาหารเจอร่อยๆ ทานเองที่บ้านแล้วค่ะ ลองทำตามสูตรนี้ หรือจะปรับเปลี่ยนวัตถุดิบตามชอบก็ได้นะคะ

    โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

    โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด: ความรู้เบื้องต้นที่คุณควรรู้

    โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดคืออะไร?

    โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (Congenital heart disease) คือภาวะที่หัวใจและหลอดเลือดใหญ่มีโครงสร้างผิดปกติตั้งแต่เกิด ซึ่งเกิดจากความผิดพลาดในการเจริญเติบโตของหัวใจในช่วงที่ทารกอยู่ในครรภ์ โรคนี้สามารถพบได้ในทารกแรกเกิดทุก 100 คน และมีหลากหลายรูปแบบความรุนแรง

    สาเหตุของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

    สาเหตุที่แน่ชัดของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ปัจจัยเสี่ยงบางประการที่อาจเกี่ยวข้อง ได้แก่

    • พันธุกรรม: มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
    • ปัจจัยสิ่งแวดล้อม: การติดเชื้อในระหว่างตั้งครรภ์ การได้รับสารพิษ เช่น ยาบางชนิด แอลกอฮอล์ หรือสารเสพติด
    • โรคประจำตัวของมารดา: โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคติดเชื้อบางชนิด

    อาการของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

    อาการของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของโรค แต่โดยทั่วไปอาจพบอาการดังนี้

    • หายใจลำบาก: หายใจเร็ว หอบเหนื่อย
    • สีผิวซีด: โดยเฉพาะบริเวณริมฝีปากและเล็บ
    • เหนื่อยง่าย: แม้จะทำกิจวัตรประจำวัน
    • น้ำหนักตัวไม่ขึ้น: เด็กเติบโตช้า
    • หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
    • บวม: ที่ขาหรือท้อง

    การวินิจฉัยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

    แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดได้โดยอาศัยประวัติการเจ็บป่วย การตรวจร่างกาย และการตรวจเพิ่มเติม เช่น

    • ฟังเสียงหัวใจ: แพทย์จะใช้หูฟังเพื่อฟังเสียงผิดปกติของหัวใจ
    • เอกซเรย์ทรวงอก: เพื่อดูขนาดและรูปร่างของหัวใจ
    • คลื่นไฟฟ้าหัวใจ: เพื่อตรวจสอบการทำงานของไฟฟ้าในหัวใจ
    • อัลตราซาวด์หัวใจ: เป็นการตรวจที่สำคัญที่สุดในการวินิจฉัยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
    • การสวนหัวใจ: เพื่อตรวจสอบโครงสร้างของหัวใจโดยละเอียด

    การรักษาโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

    การรักษาโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดจะขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของโรค โดยอาจรักษาด้วย

    • ยา: เพื่อควบคุมอาการและลดความดันในหลอดเลือด
    • การผ่าตัด: เพื่อแก้ไขความผิดปกติของโครงสร้างหัวใจ

    การดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

    ผู้ป่วยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดจำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ โดยอาจต้องได้รับยาตามที่แพทย์สั่ง และเข้ารับการตรวจสุขภาพตามนัดหมายอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ผู้ปกครองควรให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพทั่วไปของเด็ก เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกาย และการพักผ่อนให้เพียงพอ

    คำแนะนำสำหรับผู้ปกครอง:

    • ปรึกษาแพทย์: หากสงสัยว่าบุตรหลานมีอาการของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง
    • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์: ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
    • ดูแลสุขภาพของบุตรหลาน: ให้บุตรหลานได้รับวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ ตามกำหนด
    • ให้กำลังใจบุตรหลาน: สร้างความเข้าใจและให้กำลังใจบุตรหลานอยู่เสมอ

    หมายเหตุ: ข้อมูลนี้เป็นเพียงข้อมูลทั่วไป ไม่สามารถใช้ทดแทนคำแนะนำจากแพทย์ได้ ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

    ท่าก้มเก็บของที่ถูกต้อง

    ท่าก้มเก็บของที่ถูกต้อง ป้องกันอาการปวดหลัง

    ปัญหาปวดหลัง เป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน หนึ่งในสาเหตุสำคัญมาจากการยกของหรือก้มเก็บของที่ไม่ถูกวิธี ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อและกระดูกสันหลังได้ ดังนั้น การเรียนรู้ท่าก้มเก็บของที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันอาการปวดหลัง

    ทำไมการก้มเก็บของที่ผิดจึงเป็นอันตราย?

    • แรงกดทับที่กระดูกสันหลัง: การก้มตัวลงเก็บของโดยไม่งอเข่าจะทำให้กระดูกสันหลังส่วนล่างรับน้ำหนักมากเกินไป อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บที่หมอนรองกระดูกสันหลังได้
    • การบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อ: การใช้กล้ามเนื้อหลังในการยกของหนักหรือก้มตัวบ่อยๆ อาจทำให้กล้ามเนื้อตึงและปวดเมื่อยได้
    • การบาดเจ็บที่เส้นประสาท: ในบางกรณี การยกของที่ไม่ถูกวิธีอาจไปกดทับเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการปวดร้าวลงขาได้

    ท่าก้มเก็บของที่ถูกต้อง

    1. เข้าใกล้สิ่งของ: เดินเข้าไปใกล้สิ่งของที่จะยกให้มากที่สุด เพื่อลดระยะทางที่ต้องเอื้อม
    2. ย่อเข่า: ก่อนจะหยิบของ ให้ค่อยๆ ย่อเข่าลง โดยรักษาหลังให้ตรง
    3. จับให้แน่น: จับสิ่งของให้แน่นและแนบชิดตัว
    4. ใช้ขาในการยก: เมื่อจะยกของขึ้นมา ให้ใช้แรงจากขาในการดันตัวขึ้นมา โดยรักษาหลังให้ตรง
    5. หันทั้งตัว: หากต้องการหันไปทางอื่นขณะถือของ ให้หันทั้งตัวไปพร้อมกัน โดยหลีกเลี่ยงการบิดเอว

    เคล็ดลับเพิ่มเติม

    • แบ่งน้ำหนัก: หากของหนักเกินไป ให้แบ่งออกเป็นส่วนเล็กๆ หรือขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น
    • หลีกเลี่ยงการก้มตัวลงต่ำเกินไป: หากสิ่งของอยู่ต่ำมาก ควรใช้เข่าคุกเข่าลงไปแทนการก้มตัว
    • วอร์มร่างกายก่อนทำงาน: การวอร์มร่างกายก่อนทำงานจะช่วยให้กล้ามเนื้ออุ่นและยืดหยุ่น ทำให้ลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บได้
    • พักผ่อนให้เพียงพอ: การพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายได้ฟื้นฟูและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ

    สรุป

    การก้มเก็บของที่ถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันอาการปวดหลัง การฝึกฝนท่าทางที่ถูกต้องและปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้ จะช่วยให้คุณมีสุขภาพร่างกายที่ดีและหลีกเลี่ยงปัญหาสุขภาพที่ไม่พึงประสงค์ได้


    เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

    ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

    คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

    ยอมรับทั้งหมด
    จัดการความเป็นส่วนตัว
    • เปิดใช้งานตลอด

    บันทึกการตั้งค่า