ข่าวสารวันนี้

ส่องข่าวสาร แวดวงการเมือง อัปเดตรายวัน

    Black Friday 2024 คือวันอะไร? วันที่เท่าไร?

    Black Friday 2024 คือ

    Black Friday 2024 คือวันอะไร? วันที่เท่าไร?

    แค่ได้ยินคำว่า Black Friday สาวๆ ทั้งหลายก็คงใจจดใจจ่อรอคอย เพราะเป็นวันแห่งการช้อปปิ้งที่แบรนด์ดังทั่วโลกพร้อมใจกันลดราคาแบบจัดเต็ม!

    Black Friday คืออะไร?

    Black Friday คือวันศุกร์แรกหลังวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving) ในสหรัฐอเมริกา เป็นวันเริ่มต้นฤดูการช้อปปิ้งปลายปีที่เหล่านักช้อปตั้งตารอคอย เพราะร้านค้าต่าง ๆ จะนำเสนอโปรโมชั่นสุดพิเศษ ลดราคาสินค้ามากมาย จนยอดขายพุ่งสูง ทำให้ธุรกิจกลับมามีกำไร หรือเรียกง่าย ๆ ว่า “เปลี่ยนจากยอดขายสีแดงเป็นสีดำ” นั่นเอง

    Black Friday 2024 ตรงกับวันที่เท่าไร?

    ในปี 2024 วัน Black Friday คือ วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน

    ทำไมต้อง Black Friday?

    จุดเริ่มต้นของ Black Friday เกิดจากปรากฏการณ์ที่ผู้คนแห่กันไปช้อปปิ้งหลังวันขอบคุณพระเจ้าจนเกิดความวุ่นวาย รถติด และร้านค้ามีรายได้พุ่งสูง จนกลายเป็นประเพณีการช้อปปิ้งที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก

    ปัจจุบันนี้ แม้ว่าสถานการณ์ในวัน Black Friday จะไม่วุ่นวายเหมือนในอดีตแล้ว แต่บรรยากาศการช้อปปิ้งก็ยังคงคึกคัก โดยเฉพาะในช่องทางออนไลน์ที่ทำให้การช้อปปิ้งสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

    คำแนะนำ:

    • เตรียมตัวให้พร้อม: ทำลิสต์สินค้าที่ต้องการ, เปรียบเทียบราคา, และศึกษาโปรโมชั่นของแต่ละร้านค้า
    • อย่าพลาดดีลดี ๆ: ติดตามข่าวสารและโปรโมชั่นผ่านช่องทางออนไลน์ของแบรนด์ที่คุณชื่นชอบ
    • ช้อปอย่างมีความสุข: เลือกซื้อสินค้าที่จำเป็นและถูกใจ ไม่ต้องรีบร้อนและเปรียบเทียบราคาให้ดี
    ฝรั่ง ข้อควรระวัง

    ฝรั่ง ผลไม้รสชาติหวานอมเปรี้ยว สรรพคุณมากมาย แต่ก็มีข้อควรระวัง

    ฝรั่ง เป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ แต่ปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก ด้วยรสชาติที่หวานอมเปรี้ยว เนื้อสัมผัสกรุบกรอบ และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว นอกจากรสชาติที่อร่อยแล้ว ฝรั่งยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุมากมาย ที่สำคัญยังมีสรรพคุณทางยาสมุนไพรอีกด้วย

    สรรพคุณของฝรั่ง

    • ช่วยย่อยอาหาร: ฝรั่งมีใยอาหารสูง ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบขับถ่าย ลดอาการท้องผูก
    • บำรุงสายตา: ฝรั่งอุดมไปด้วยวิตามินเอ ซึ่งมีส่วนช่วยในการบำรุงสายตา ป้องกันโรคตาเสื่อม
    • เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: วิตามินซีในฝรั่งช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันการติดเชื้อ
    • ลดคอเลสเตอรอล: ฝรั่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
    • บำรุงผิวพรรณ: วิตามินซีในฝรั่งช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส ช่วยลดเลือนริ้วรอย

    ข้อควรระวังในการรับประทานฝรั่ง

    แม้ว่าฝรั่งจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีบางกลุ่มคนที่ควรระวังในการรับประทานฝรั่ง ข้อควรระวัง ก็ดังนี้

    • ผู้ป่วยเบาหวาน: ฝรั่งมีน้ำตาลสูง การรับประทานในปริมาณมากอาจส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดได้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน
    • ผู้ที่กำลังจะผ่าตัด: ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานฝรั่งก่อนการผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เนื่องจากฝรั่งอาจทำให้น้ำตาลในเลือดลดลง ซึ่งอาจส่งผลต่อการควบคุมเลือดระหว่างการผ่าตัด
    • ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร: ผู้ที่มีอาการท้องเสียเรื้อรัง หรือมีแผลในกระเพาะอาหาร ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานฝรั่ง เนื่องจากใยอาหารในฝรั่งอาจกระตุ้นให้เกิดอาการเหล่านี้มากขึ้น
    • ผู้ที่มีอาการแพ้: ผู้ที่แพ้ละอองเกสรดอกไม้ หรือมีอาการแพ้อาหารบางชนิด ควรระวังอาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้นจากการรับประทานฝรั่ง

    วิธีการเลือกซื้อและเก็บรักษาฝรั่ง

    • เลือกฝรั่งที่สุกกำลังดี: ฝรั่งที่สุกกำลังดีจะมีเปลือกสีเหลืองอมเขียว เนื้อแน่น และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ
    • หลีกเลี่ยงฝรั่งที่มีรอยช้ำ: ฝรั่งที่มีรอยช้ำหรือรอยด่างอาจเน่าเสียได้ง่ายเก็บรักษา: สามารถเก็บฝรั่งไว้ในอุณหภูมิห้องได้ประมาณ 2-3 วัน หรือเก็บในตู้เย็นเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา

    สรุป ฝรั่งเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย แต่ก็ควรระวังในการรับประทาน โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากฝรั่งโดยไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ

    ผลไม้บำรุงสายตา

    ผลไม้บำรุงสายตา: ส่องแสงให้ดวงตาของคุณ

    สายตาเป็นของขวัญล้ำค่าที่เราทุกคนควรดูแลเป็นอย่างดี ในยุคที่ต้องใช้สายตามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ มองโทรศัพท์มือถือ หรือการขับรถ การบำรุงสายตาให้แข็งแรงจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หนึ่งในวิธีที่ง่ายและได้ผลดีในการบำรุงสายตาคือการรับประทานผลไม้บำรุงสายตา

    ทำไมผลไม้ถึงบำรุงสายตาได้?

    ผลไม้หลายชนิดอุดมไปด้วยวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็นต่อสุขภาพของดวงตา เช่น วิตามินเอ เบต้าแคโรทีน ลูทีน และซีแซนทีน สารอาหารเหล่านี้ช่วยป้องกันการเสื่อมของจอประสาทตา ลดความเสี่ยงของโรคตาต่างๆ เช่น ต้อกระจก และต้อหิน ช่วยให้สายตาคมชัด และยังช่วยลดอาการเมื่อยล้าของดวงตาจากการใช้สายตาเป็นเวลานานอีกด้วย

    ผลไม้บำรุงสายตาที่คุณไม่ควรพลาด

    • แครอท: เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของวิตามินเอ ซึ่งช่วยบำรุงสายตาในที่มืดและป้องกันโรคตาบอดกลางคืน
    • มะละกอ: อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน ที่ร่างกายเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ช่วยปกป้องจอประสาทตาจากความเสียหาย
    • มะม่วง: มีวิตามินเอสูง ช่วยให้สายตาแข็งแรงและมีสุขภาพดี
    • มะเขือเทศ: อุดมไปด้วยไลโคปีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการเสื่อมของจอประสาทตา
    • ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่: เช่น บลูเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคตาเสื่อม
    • กล้วย: มีโพแทสเซียมสูง ช่วยลดความเสี่ยงของโรคต้อกระจก
    • ส้ม: อุดมไปด้วยวิตามินซี ช่วยป้องกันการอักเสบของดวงตา

    วิธีรับประทานผลไม้เพื่อบำรุงสายตา

    • รับประทานผลไม้ให้หลากหลาย: เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วน
    • รับประทานผลไม้สด: จะได้วิตามินและสารอาหารครบถ้วนที่สุด
    • รับประทานผลไม้เป็นประจำ: ควรทานผลไม้ทุกวัน เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างต่อเนื่อง

    เคล็ดลับเพิ่มเติม:

    • พักสายตาเป็นระยะ: หากต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ควรพักสายตาเป็นระยะๆ ทุกๆ 20 นาที โดยมองไปยังวัตถุที่อยู่ไกลๆ
    • ออกกำลังกาย: การออกกำลังกายช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงดวงตา
    • นอนหลับให้เพียงพอ: การพักผ่อนอย่างเพียงพอช่วยให้ดวงตาได้พักผ่อนและฟื้นฟู
    • ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ: การตรวจสุขภาพตาเป็นประจำจะช่วยให้คุณทราบถึงสุขภาพดวงตาของคุณและสามารถรักษาได้อย่างทันท่วงที

    การดูแลสายตาเป็นสิ่งสำคัญมาก การรับประทานผลไม้บำรุงสายตาควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพตาอย่างถูกวิธี จะช่วยให้คุณมีสายตาที่แข็งแรงและมองเห็นโลกได้อย่างชัดเจนตลอดไป

    อาหารกลิ่นแรงแต่มีประโยชน์

    อาหารกลิ่นแรงแต่มีประโยชน์: เผยเคล็ดลับการทานอาหารสุขภาพที่อร่อยและมีประโยชน์

    อาหารที่มีกลิ่นแรงนั้นมักถูกมองข้ามไป เนื่องจากกลิ่นที่ฉุนและรสชาติที่เข้มข้น แต่รู้หรือไม่ว่าอาหารเหล่านี้กลับอุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมากมาย และยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกด้วย วันนี้เราจะพาคุณไปพบกับอาหารกลิ่นแรงแต่มีประโยชน์เหล่านี้ พร้อมเผยเคล็ดลับการทานให้ได้ประโยชน์สูงสุด

    ทำไมอาหารกลิ่นแรงถึงมีประโยชน์?

    อาหารที่มีกลิ่นแรงมักจะมีสารประกอบทางเคมีที่เรียกว่า ฟีโตนิวเทรียนต์ (phytonutrients) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันเซลล์จากความเสียหาย ชะลอความเสื่อมของเซลล์ และลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคความเสื่อมของสมอง นอกจากนี้ อาหารกลิ่นแรงยังมีใยอาหารสูง ช่วยในการขับถ่าย และมีโปรตีนสูง ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างกล้ามเนื้อและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย

    ตัวอย่างอาหารกลิ่นแรงที่มีประโยชน์

    • กระเทียม: ช่วยลดความดันโลหิต ลดระดับคอเลสเตอรอล และมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
    • หอมแดง: ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
    • หัวหอม: ช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง ช่วยลดการอักเสบ และมีวิตามินซีสูง
    • ขิง: ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียน และมีฤทธิ์แก้อักเสบ
    • กะเพรา: ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
    • ปลา: ปลาบางชนิด เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล มีกลิ่นคาว แต่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง ซึ่งดีต่อหัวใจและสมอง

    เคล็ดลับการทานอาหารกลิ่นแรง

    • ปรุงรส: การปรุงรสด้วยสมุนไพรและเครื่องเทศอื่นๆ จะช่วยลดกลิ่นฉุนและเพิ่มรสชาติให้อาหารน่ารับประทานมากขึ้น
    • ผสมกับอาหารอื่น: การนำอาหารกลิ่นแรงไปผสมกับอาหารชนิดอื่น เช่น สลัด ผัด หรือต้ม จะช่วยลดความเข้มข้นของกลิ่น
    • ค่อยๆ ปรับ: หากไม่คุ้นเคยกับกลิ่นแรง ให้เริ่มจากการใช้อาหารกลิ่นแรงในปริมาณน้อยๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ
    • เลือกวัตถุดิบสดใหม่: อาหารสดใหม่จะมีกลิ่นที่ไม่ฉุนมากนัก และมีรสชาติที่อร่อยกว่า

    เมนูอาหารกลิ่นแรงที่น่าลอง

    • ผัดกระเพราหมูสับ: เมนูโปรดของคนไทย ที่อุดมไปด้วยโปรตีนจากเนื้อหมู และสารต้านอนุมูลอิสระจากใบกะเพรา
    • ต้มยำกุ้ง: ซุปที่มีรสชาติจัดจ้าน ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร
    • แกงเขียวหวานไก่: แกงที่มีรสชาติเข้มข้น อุดมไปด้วยสมุนไพรไทย
    • ส้มตำ: ส้มตำไทยรสแซ่บ มีใยอาหารสูง ช่วยในการขับถ่าย

    สรุป

    อาหารกลิ่นแรงไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด หากรู้จักวิธีการปรุงและเลือกทานให้ถูกวิธี อาหารเหล่านี้จะกลายเป็นอาหารสุขภาพที่อร่อยและมีประโยชน์ต่อร่างกายของคุณ ลองนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปปรับใช้กับเมนูอาหารของคุณดูนะคะ

    น้ำตาเทียม

    น้ำตาเทียม ดีไหม? ไขข้อสงสัยเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์บำรุงดวงตาที่คุณควรรู้

    ปัญหาตาแห้ง เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ใช้สายตามากเกินไป เช่น ผู้ที่ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ หรือผู้สูงอายุ อาการตาแห้งนอกจากจะทำให้รู้สึกไม่สบายตา ยังอาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นในระยะยาวได้อีกด้วย

    น้ำตาเทียม จึงกลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ประสบปัญหาตาแห้ง เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตา ช่วยบรรเทาอาการระคายเคือง แสบตา และคันตาได้เป็นอย่างดี แต่หลายคนก็ยังคงสงสัยว่า น้ำตาเทียมดีจริงหรือ? มีประโยชน์อย่างไร? และควรเลือกใช้น้ำตาเทียมแบบไหนดี?

    น้ำตาเทียม คืออะไร?

    น้ำตาเทียมเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อเลียนแบบน้ำตาธรรมชาติ มีส่วนประกอบหลักคือน้ำและสารหล่อลื่น เช่น โพลีเอทิลีนไกลคอล (Polyethylene Glycol) หรือไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) ซึ่งช่วยเคลือบผิวตาและรักษาความชุ่มชื้น

    ประโยชน์ของน้ำตาเทียม

    • ช่วยบรรเทาอาการตาแห้ง: เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตา ช่วยลดอาการระคายเคือง แสบตา คันตา และทำให้รู้สึกสบายตาขึ้น
    • ป้องกันการระคายเคือง: สร้างชั้นป้องกันบนผิวตา ช่วยลดการเสียดสีระหว่างเปลือกตาและดวงตา
    • ช่วยให้การใส่คอนแทคเลนส์สบายขึ้น: ลดอาการระคายเคืองที่เกิดจากการใส่คอนแทคเลนส์
    • ช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้กับดวงตาหลังการผ่าตัด: เช่น หลังการผ่าตัดต้อกระจก

    น้ำตาเทียม เหมาะสำหรับใคร?

    • ผู้ที่มีอาการตาแห้งเรื้อรัง
    • ผู้ที่ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
    • ผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์
    • ผู้สูงอายุ
    • ผู้ที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แห้งและมีลมแรง
    • ผู้ที่เพิ่งผ่านการผ่าตัดตา

    วิธีเลือกน้ำตาเทียม

    น้ำตาเทียมมีหลายชนิดและหลายยี่ห้อให้เลือก โดยมีส่วนประกอบและความเข้มข้นของสารหล่อลื่นที่แตกต่างกัน การเลือกน้ำตาเทียมที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสภาพของดวงตาและความต้องการของแต่ละบุคคล ควรปรึกษาเภสัชกรหรือจักษุแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ

    ปัจจัยที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกน้ำตาเทียม:

    • ความเข้มข้นของสารหล่อลื่น: เลือกความเข้มข้นที่เหมาะสมกับระดับความแห้งของดวงตา
    • ชนิดของสารกันเสีย: บางคนอาจแพ้สารกันเสียในน้ำตาเทียม ควรเลือกชนิดที่ไม่มีสารกันเสียหรือมีสารกันเสียชนิดที่ไม่ระคายเคือง
    • ความถี่ในการใช้: เลือกชนิดที่เหมาะกับการใช้ในชีวิตประจำวันหรือสำหรับใช้ในกรณีฉุกเฉิน
    • ราคา: น้ำตาเทียมมีราคาแตกต่างกันไป ควรเลือกชนิดที่เหมาะสมกับงบประมาณ

    ข้อควรระวังในการใช้น้ำตาเทียม

    • อ่านฉลากอย่างละเอียด: ก่อนใช้ควรอ่านฉลากเพื่อดูส่วนประกอบและวิธีใช้ให้ถูกต้อง
    • หลีกเลี่ยงการสัมผัสปลายขวดกับดวงตา: เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรค
    • หยุดใช้และปรึกษาแพทย์: หากมีอาการแพ้หรืออาการไม่พึงประสงค์อื่นๆ เกิดขึ้น

    สรุป

    น้ำตาเทียมเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยบรรเทาอาการตาแห้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสภาพของดวงตาและปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม ควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้อง

    ข้อดีของการติดกล้องหน้ารถเพื่อสุขภาพจิตที่ดีขึ้น

    ข้อดีของการติดกล้องหน้ารถเพื่อสุขภาพจิตที่ดีขึ้น

    การติดกล้องหน้ารถไม่ได้แค่ช่วยป้องกันอุบัติเหตุ แต่ยังช่วยเสริมความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่ ช่วยลดความเครียดจากการขับขี่ในที่มีการจราจรหนาแน่น อีกทั้งยังช่วยให้ผู้ขับขี่มั่นใจว่ามีหลักฐานบันทึกเหตุการณ์ได้อย่างชัดเจนหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด

    ข้อดีของการติดกล้องหน้ารถในการเสริมสุขภาพจิต

    การมีกล้องติดรถยนต์ช่วยลดความเครียดและความกังวลในการขับขี่ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ต้องขับรถในพื้นที่จราจรติดขัด การมีกล้องช่วยบันทึกเหตุการณ์ตลอดการเดินทางทำให้ผู้ขับขี่รู้สึกอุ่นใจมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพจิตในระยะยาว

    วิธีการติดตั้งกล้องหน้ารถเพื่อประโยชน์ที่สูงสุด

    1. เลือกกล้องที่มีความคมชัดสูง – ควรเลือกกล้องที่บันทึกภาพได้ชัดเจน เพื่อใช้เป็นหลักฐานหากมีอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ บนท้องถนน
    2. ติดตั้งในจุดที่เหมาะสม – ควรติดกล้องให้ไม่บดบังทัศนวิสัยของผู้ขับขี่ ควรเลือกจุดที่ใกล้กระจกมองหลังและไม่ส่งผลกระทบต่อการมองเห็น
    3. ตรวจสอบระบบการทำงานของกล้อง – หมั่นตรวจสอบการทำงานของกล้องเป็นประจำว่าบันทึกได้ตามปกติ ทั้งนี้เพื่อให้มั่นใจว่าใช้งานได้ในยามที่ต้องการ

    เลือกติดกล้องที่เหมาะสมกับรถยนต์

    ผู้ขับขี่ควรเลือกกล้องติดรถยนต์ที่สามารถใช้งานได้อย่างทนทานและเหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน เพื่อให้สามารถใช้งานได้ในทุกสภาพแวดล้อมและทุกฤดูกาล อีกทั้งกล้องที่มีคุณภาพสูงจะสามารถบันทึกเหตุการณ์ได้อย่างชัดเจนเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน

    วันเสาร์นี้ใส่เสื้อสีไหนเรียกโชค เลขเด็ดมาพร้อมดวง

    วันเสาร์นี้ใส่เสื้อสีไหนเรียกโชค เลขเด็ดมาพร้อมดวง

    วันที่ 16 พฤศจิกายน 2567 เป็นวันหวยออกที่ตรงกับวันเสาร์ เชื่อกันว่าการเลือกสีเสื้อให้เหมาะสมกับวันหวยออกนั้นสามารถช่วยเสริมดวงด้านโชคลาภและความเป็นมงคลในชีวิตได้อย่างมาก ในครั้งนี้เราจะแนะนำสีเสื้อที่เหมาะสมสำหรับวันเสาร์เพื่อเสริมโชคลาภ เพิ่มโอกาสรับทรัพย์ให้ได้มากที่สุด

    สีเสื้อมงคลที่แนะนำสำหรับวันหวยออก (วันเสาร์)

    1. สีแดง – สีแดงเป็นสีที่ทรงพลังและดึงดูดโชคลาภ เป็นสีที่เหมาะกับการเพิ่มพลังงานและความมุ่งมั่นในการเสี่ยงโชค
    2. สีดำ – สีที่แสดงถึงความมั่นคงและปกป้อง เชื่อกันว่าสีดำช่วยป้องกันสิ่งไม่ดีและเสริมดวงให้เป็นที่เคารพ ทำให้มีพลังในการดึงดูดโชคลาภเข้ามา
    3. สีทอง – สีทองเป็นสีที่เชื่อว่าช่วยเรียกเงินเรียกทอง และเสริมดวงทางด้านการเงิน ช่วยให้คุณมีโอกาสในการรับโชคลาภเพิ่มขึ้น

    เลือกสีเสื้อตามความเชื่อเพื่อเพิ่มพลังด้านโชคลาภ

    การเลือกสีเสื้อไม่เพียงแค่เสริมด้านโชคลาภเท่านั้น แต่ยังช่วยให้คุณรู้สึกมั่นใจและเสริมสุขภาพจิตใจในวันหวยออก สีที่แนะนำควรเป็นสีที่เสริมดวงตามวันเสาร์ เช่น สีแดง สีดำ และสีทอง ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับโชคลาภ

    ทริคเล็กๆ ในการเสริมโชคลาภ

    ลองใช้กระเป๋าสตางค์สีที่เข้ากับสีมงคลในวันเสาร์ เช่น กระเป๋าสตางค์สีทอง สีแดง เพื่อเสริมโชคลาภด้านการเงิน หรือใส่เครื่องประดับที่มีสีสันใกล้เคียงเพื่อเสริมพลังให้มากยิ่งขึ้น

    ดื่มกาแฟหลังตื่นนอน

    ดื่มกาแฟหลังตื่นนอน: ดีหรือไม่ดี? มาไขข้อข้องใจกัน

    หลายคนคงคุ้นเคยกับการเริ่มต้นวันใหม่ด้วยกาแฟสักแก้ว เพื่อเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าและช่วยให้ร่างกายตื่นตัว แต่การดื่มกาแฟหลังตื่นนอนทันทีนั้นดีต่อสุขภาพหรือไม่? มาไขข้อข้องใจกัน

    ทำไมเราถึงอยากดื่มกาแฟตอนเช้า?

    • คาเฟอีน: สารกระตุ้นในกาแฟช่วยเพิ่มระดับอะดรีนาลีน ทำให้เรารู้สึกกระฉับกระเฉงและตื่นตัวมากขึ้น
    • รสชาติ: รสชาติของกาแฟที่หอมกรุ่น ช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัสและสร้างความสุข
    • นิสัย: การดื่มกาแฟตอนเช้ากลายเป็นนิสัยของหลาย ๆ คน ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวัน

    ดื่มกาแฟหลังตื่นนอนดีหรือไม่?

    ข้อดี:

    • เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า: คาเฟอีนช่วยให้ร่างกายตื่นตัวและพร้อมทำงาน
    • ช่วยให้ตื่นนอนง่ายขึ้น: สำหรับผู้ที่นอนหลับยาก การดื่มกาแฟอาจช่วยให้ตื่นนอนได้ง่ายขึ้น
    • เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน: การดื่มกาแฟในปริมาณที่พอเหมาะอาจช่วยเพิ่มสมาธิและความสามารถในการทำงาน

    ข้อเสีย:

    • ทำให้นอนไม่หลับ: การดื่มกาแฟในช่วงเย็นหรือก่อนนอน อาจส่งผลต่อการนอนหลับ ทำให้หลับยากหรือหลับไม่สนิท
    • เพิ่มความวิตกกังวล: คาเฟอีนอาจทำให้รู้สึกกระวนกระวายใจและวิตกกังวลมากขึ้น
    • ทำให้อ่อนเพลีย: หากดื่มกาแฟมากเกินไป อาจทำให้เกิดอาการเพลียและอ่อนล้าได้ในระยะยาว
    • ส่งผลต่อระบบย่อยอาหาร: การดื่มกาแฟตอนท้องว่าง อาจทำให้เกิดอาการปวดท้อง หรือแสบร้อนกลางอกได้

    ดื่มกาแฟอย่างไรให้ปลอดภัย?

    • ดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ: ไม่ควรดื่มกาแฟเกิน 400 มิลลิกรัมต่อวัน
    • เลือกกาแฟที่ไม่ใส่น้ำตาลมาก: น้ำตาลจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และลดลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน ทำให้รู้สึกเพลีย
    • ดื่มกาแฟหลังอาหาร: การดื่มกาแฟหลังอาหารจะช่วยลดผลกระทบต่อกระเพาะอาหาร
    • หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟในช่วงเย็นหรือก่อนนอน: เพื่อไม่ให้ส่งผลต่อการนอนหลับ
    • หากมีปัญหาสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนดื่มกาแฟ

    สรุป: การดื่มกาแฟหลังตื่นนอนนั้นไม่ผิด แต่ควรดื่มในปริมาณที่พอเหมาะและเลือกเวลาที่เหมาะสม หากคุณมีปัญหาสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าการดื่มกาแฟจะไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคุณ

    อาหารแก้กรดไหลย้อน

    อาหารแก้กรดไหลย้อน: บรรเทาอาการแสบร้อนด้วยอาหารเหล่านี้

    กรดไหลย้อน เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน สาเหตุหลักมาจากการที่กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหาร ทำให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอก เรอบ่อยๆ และมีรสเปรี้ยวในปาก การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาที่สำคัญ ซึ่งรวมถึงการเลือกทานอาหารที่เหมาะสม

    อาหารแก้กรดไหลย้อน

    • ผักใบเขียว: ผักใบเขียว เช่น ผักคะน้า ผักโขม และกะหล่ำปลี มีใยอาหารสูง ช่วยในการย่อยอาหารและลดอาการท้องอืด ซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดกรดไหลย้อน
    • ผลไม้: เลือกทานผลไม้ที่มีความเป็นกรดต่ำ เช่น กล้วย แอปเปิล (ปอกเปลือก) แตงโม และมะละกอสุก
    • ธัญพืช: ธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต และข้าวบาร์เลย์ มีใยอาหารสูง ช่วยในการย่อยอาหารและลดอาการท้องอืด
    • โปรตีน: เลือกทานโปรตีนที่ย่อยง่าย เช่น ไก่ไม่ติดหนัง ปลา เนื้อวัวไม่ติดมัน และไข่ขาว
    • นม: นมไขมันต่ำหรือนมพร่องมันเนย ช่วยเคลือบหลอดอาหารและลดอาการแสบร้อน
    • น้ำเปล่า: การดื่มน้ำเปล่าในปริมาณที่เพียงพอช่วยในการย่อยอาหารและลดอาการท้องผูก

    อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

    • อาหารรสจัด: อาหารรสจัด เช่น พริก กระเทียม และเครื่องเทศต่างๆ จะกระตุ้นให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
    • อาหารทอดและมันเจียว: อาหารทอดและมันเจียวมีไขมันสูง ย่อยยาก และทำให้เกิดอาการท้องอืด
    • อาหารรสเปรี้ยว: ผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว และสับปะรด จะกระตุ้นให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
    • กาแฟ ชา และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน: คาเฟอีนจะกระตุ้นให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
    • แอลกอฮอล์: แอลกอฮอล์จะระคายเคืองเยื่อบุหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร

    เคล็ดลับเพิ่มเติม

    • ทานอาหารมื้อเล็กๆ หลายมื้อ: การทานอาหารมื้อเล็กๆ หลายมื้อจะช่วยลดภาระในการทำงานของกระเพาะอาหาร
    • เคี้ยวอาหารให้ละเอียด: การเคี้ยวอาหารให้ละเอียดจะช่วยในการย่อยอาหารและลดอาการท้องอืด
    • เลิกสูบบุหรี่: บุหรี่จะทำให้กล้ามเนื้อหูรูดบริเวณหลอดอาหารอ่อนแรงลง ทำให้กรดไหลย้อนได้ง่ายขึ้น
    • หลีกเลี่ยงการนอนราบหลังทานอาหารทันที: ควรเว้นระยะห่างประมาณ 2-3 ชั่วโมง
    • ยกหัวเตียงให้สูงขึ้น: การยกหัวเตียงให้สูงขึ้นประมาณ 15-20 เซนติเมตร จะช่วยลดแรงดันในกระเพาะอาหาร

    ข้อควรระวัง: หากอาการกรดไหลย้อนไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม

    บทสรุป

    การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินเป็นสิ่งสำคัญในการบรรเทาอาการกรดไหลย้อน การเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ อาหารแก้กรดไหลย้อน ที่เราแนะนำไปข้างต้น และหลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นให้เกิดอาการ รวมถึงการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต จะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดีขึ้น

    สูตรไข่ดองน้ำปลา

    สูตรไข่ดองน้ำปลา ทำง่าย อร่อยถึงใจ!

    ไข่ดองน้ำปลา เมนูทานเล่นสุดคลาสสิก ที่ใครๆ ก็ทำได้ แถมยังอร่อยถูกปากอีกด้วยค่ะ วิธีทำก็ง่ายนิดเดียว แค่มีส่วนผสมไม่กี่อย่างก็สามารถทำได้ที่บ้านแล้ว มาดูสูตรและขั้นตอนการทำกันเลยค่ะ

    ส่วนผสมทำไข่ดองน้ำปลา

    • ไข่ไก่สด
    • น้ำปลา
    • น้ำตาลปี๊บ
    • น้ำเปล่า
    • กระเทียม (สำหรับโรยหน้า)
    • พริกขี้หนู (สำหรับโรยหน้า)
    • หอมแดง (สำหรับโรยหน้า)
    • น้ำมะนาว (สำหรับโรยหน้า)

    อุปกรณ์

    • หม้อ
    • ช้อน
    • ขวดโหลแก้ว

    วิธีทำไข่ดองน้ำปลา

    1. เตรียมน้ำดอง: ตวงน้ำปลา น้ำตาลปี๊บ และน้ำเปล่าใส่หม้อ คนให้เข้ากัน ตั้งไฟกลาง เคี่ยวจนน้ำตาลละลายและส่วนผสมเดือด จากนั้นปิดไฟ พักให้เย็นสนิท
    2. เตรียมไข่: ล้างไข่ไก่ให้สะอาด ตอกไข่ใส่ภาชนะที่เตรียมไว้ แยกไข่แดงออกจากไข่ขาว ทิ้งไข่ขาวไป (หรือจะนำไปทำเมนูอื่นๆ ต่อก็ได้)
    3. ดองไข่: นำไข่แดงที่แยกไว้ใส่ลงในน้ำดองที่เย็นแล้ว ปิดฝาขวดโหลให้สนิท นำไปแช่ตู้เย็นประมาณ 1 คืน หรือจนกว่าไข่แดงจะมีความหนึบตามต้องการ
    4. จัดเสิร์ฟ: นำไข่ดองออกจากตู้เย็น ตักใส่จาน โรยหน้าด้วยกระเทียม พริกขี้หนู หอมแดงซอย และบีบน้ำมะนาวเล็กน้อย ก่อนเสิร์ฟ

    เคล็ดลับสูตรไข่ดองน้ำปลาเด็ด

    • เลือกไข่ไก่สด: เพื่อให้ได้ไข่ดองที่มีคุณภาพดี
    • น้ำดอง: ปรับปริมาณน้ำปลา น้ำตาล และน้ำเปล่าได้ตามชอบ เพื่อให้ได้รสชาติที่ถูกปาก
    • ระยะเวลาการดอง: ปรับระยะเวลาการดองได้ตามความชอบ หากต้องการไข่แดงที่หนึบมากขึ้น สามารถดองทิ้งไว้ได้นานขึ้น
    • น้ำจิ้ม: นอกจากจะรับประทานไข่ดองเปล่าๆ แล้ว สามารถทานคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ด หรือน้ำจิ้มพริกก็อร่อย

    ไข่ดองน้ำปลา เป็นเมนูที่ทำง่าย ใช้เวลาไม่นาน แต่ได้รสชาติที่อร่อย กลมกล่อม เหมาะสำหรับทานเป็นอาหารว่าง หรือทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ ก็อร่อยไม่แพ้กัน ลองทำตามสูตรนี้ดูนะคะ รับรองว่าติดใจแน่นอน

    คำแนะนำเพิ่มเติม:

    • ความปลอดภัย: ควรเลือกภาชนะที่สะอาดในการทำไข่ดอง และควรเก็บไข่ดองในตู้เย็นเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา
    • วัตถุดิบอื่นๆ: สามารถเพิ่มวัตถุดิบอื่นๆ ลงไปในน้ำดองได้ เช่น ใบเตย หรือสมุนไพรชนิดอื่นๆ เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมและรสชาติที่หลากหลาย
    • การปรับรสชาติ: หากต้องการรสชาติที่เผ็ดมากขึ้น สามารถเพิ่มปริมาณพริกขี้หนูได้ หรือหากต้องการรสชาติที่หวานน้อยลง สามารถลดปริมาณน้ำตาลได้

    ขอให้สนุกกับการทำอาหารนะคะ!


    เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

    ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

    คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

    ยอมรับทั้งหมด
    จัดการความเป็นส่วนตัว
    • เปิดใช้งานตลอด

    บันทึกการตั้งค่า