ข่าวสารวันนี้

ส่องข่าวสาร แวดวงการเมือง อัปเดตรายวัน

    Category Archive : วาไรตี้

    มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2025

    มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2025: สงครามนางงามสุดอลังการ ใครจะคว้ามงทอง?

    เวทีมิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2025 (Miss Grand Thailand 2025) กำลังลุกเป็นไฟ! กับการประชันโฉมของ 77 สาวงามทั่วประเทศ ในรอบ Preliminary ที่ผ่านมา พวกเธอได้อวดความงามและความสามารถในชุดราตรีสุดหรูและชุดว่ายน้ำสุดเซ็กซี่ เรียกเสียงฮือฮาจากแฟนนางงามทั่วประเทศ

    การแข่งขันครั้งนี้ดุเดือดกว่าที่เคย เมื่อ “ด้อมนางงาม” ทุ่มทุนไม่อั้นเพื่อสนับสนุนนางงามในดวงใจ ยอดขายสินค้าพุ่งทะยานเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะการแข่งขันระหว่าง “กชเบล มิสแกรนด์ภูเก็ต” และ “หมอแจน มิสแกรนด์ลำปาง” ที่มียอดขายรวมกันเกือบ 10 ล้านบาทภายใน 3 ชั่วโมง!

    นอกจากความสวยงามแล้ว เวทีมิสแกรนด์ยังเต็มไปด้วยดราม่าและเรื่องราวที่น่าติดตาม การตัดสินของคณะกรรมการ นำโดย “บอสณวัฒน์ อิสรไกรศีล” และ “อิงฟ้า วราหะ” เป็นที่จับตามองของแฟนนางงามทั่วประเทศ ใครจะเป็นผู้คว้ามงกุฎ มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2025และเป็นตัวแทนประเทศไทยไปประกวด “Miss Grand International 2025” ที่ประเทศไทย?

    ร่วมลุ้นและเป็นกำลังใจให้พวกเธอได้ในรอบตัดสิน วันที่ 29 มีนาคม 2568 เวลา 19.00 น. ที่ MGI HALL ชั้น 6 ศูนย์การค้า Bravo BKK ถ.พระราม 9

    ปลาร้าทอด เคล็ดลับลับฉบับเซียนครัว ทอดอย่างไรให้กรอบอร่อย ไร้ปัญหา

    ปลาร้าทอด เมนูอาหารรสเลิศที่ครองใจคนไทยมาทุกยุคทุกสมัย ด้วยรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์และกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอ แต่การจะทอดปลาร้าให้ออกมาสมบูรณ์แบบ กรอบนอกนุ่มใน ไม่ติดกระทะ แถมน้ำมันไม่กระเด็นนั้น อาจเป็นเรื่องที่หลายคนมองว่าท้าทาย วันนี้ เราจะมาเปิดเผยเคล็ดลับที่ไม่ลับฉบับเซียนครัว เพื่อให้คุณสามารถเนรมิตปลาร้าทอดจานโปรดได้อย่างมืออาชีพ

    เลือกปลาร้าอย่างไรให้ได้ใจ:

    • ชนิดของปลาร้า:
      • ปลาร้าปลานิล: เนื้อแน่น รสชาติเข้มข้น เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความจัดจ้าน
      • ปลาร้าปลาสร้อย: เนื้อนุ่ม รสชาติกลมกล่อม เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบรสชาติละมุน
      • ปลาร้าปลาช่อน: เนื้อสัมผัสดี รสชาติเป็นเอกลักษณ์
    • การเลือกซื้อ:
      • สังเกตสี: ควรมีสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้มตามชนิดของปลา
      • ดมกลิ่น: ต้องมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ไม่เหม็นคาว
      • สัมผัสเนื้อ: เนื้อต้องแน่น ไม่เละ

    เตรียมปลาร้าให้พร้อมลงกระทะ:

    • ล้างทำความสะอาด:
      • แช่น้ำ: ลดความเค็มและสิ่งสกปรก
      • ล้างด้วยน้ำเกลือ: ช่วยลดกลิ่นคาว
      • ล้างด้วยน้ำซาวข้าว: เพิ่มความหอม
    • ซับให้แห้ง: ใช้กระดาษซับน้ำมันซับให้แห้งสนิท
    • ปรุงรสเพิ่มเติม: หมักด้วยกระเทียม พริกไทย หรือเครื่องเทศตามชอบ

    เทคนิคการทอดขั้นเทพ:

    • กระทะและน้ำมัน:
      • กระทะเหล็กหรือเทฟลอน: พื้นผิวเรียบ ช่วยลดการติดกระทะ
      • น้ำมันท่วม: ปลาร้าสุกทั่วถึง
      • น้ำมันร้อนจัด: ปลาร้ากรอบ ไม่อมน้ำมัน
    • ควบคุมไฟ:
      • ไฟกลาง: ทอดจนเหลือง
      • ลดไฟอ่อน: ทอดต่อจนกรอบ
    • เทคนิคพิเศษ:
      • ชุบแป้งทอดกรอบ: เพิ่มความกรอบ
      • ทอดแบบ Deep Fry: กรอบทั่วทั้งชิ้น

    เคล็ดลับป้องกันน้ำมันกระเด็น:

    • ซับปลาร้าให้แห้ง: ลดความชื้น
    • น้ำมันร้อนจัด: ลดการดูดซึมน้ำมัน
    • ใส่เกลือเล็กน้อย: ช่วยลดการกระเด็น
    • ใช้ฝาตะแกรง: ป้องกันน้ำมันกระเด็น

    เสิร์ฟและเก็บรักษา:

    • เสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ และผักสด
    • เก็บในภาชนะปิดสนิทในตู้เย็น

    ข้อควรระวัง:

    • ระวังน้ำมันกระเด็นและความร้อน
    • ทานแต่พอดี เพื่อสุขภาพที่ดี

    ปลาร้าทอด เคล็ดลับลับฉบับเซียนครัว ทอดอย่างไรให้กรอบอร่อย ไร้ปัญหา

    ปลาร้าทอด เมนูอาหารรสเลิศที่ครองใจคนไทยมาทุกยุคทุกสมัย ด้วยรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์และกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอ แต่การจะทอดปลาร้าให้ออกมาสมบูรณ์แบบ กรอบนอกนุ่มใน ไม่ติดกระทะ แถมน้ำมันไม่กระเด็นนั้น อาจเป็นเรื่องที่หลายคนมองว่าท้าทาย วันนี้ เราจะมาเปิดเผยเคล็ดลับที่ไม่ลับฉบับเซียนครัว เพื่อให้คุณสามารถเนรมิตปลาร้าทอดจานโปรดได้อย่างมืออาชีพ

    เลือกปลาร้าอย่างไรให้ได้ใจ:

    • ชนิดของปลาร้า:
      • ปลาร้าปลานิล: เนื้อแน่น รสชาติเข้มข้น เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความจัดจ้าน
      • ปลาร้าปลาสร้อย: เนื้อนุ่ม รสชาติกลมกล่อม เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบรสชาติละมุน
      • ปลาร้าปลาช่อน: เนื้อสัมผัสดี รสชาติเป็นเอกลักษณ์
    • การเลือกซื้อ:
      • สังเกตสี: ควรมีสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้มตามชนิดของปลา
      • ดมกลิ่น: ต้องมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ไม่เหม็นคาว
      • สัมผัสเนื้อ: เนื้อต้องแน่น ไม่เละ

    เตรียมปลาร้าให้พร้อมลงกระทะ:

    • ล้างทำความสะอาด:
      • แช่น้ำ: ลดความเค็มและสิ่งสกปรก
      • ล้างด้วยน้ำเกลือ: ช่วยลดกลิ่นคาว
      • ล้างด้วยน้ำซาวข้าว: เพิ่มความหอม
    • ซับให้แห้ง: ใช้กระดาษซับน้ำมันซับให้แห้งสนิท
    • ปรุงรสเพิ่มเติม: หมักด้วยกระเทียม พริกไทย หรือเครื่องเทศตามชอบ

    เทคนิคการทอดขั้นเทพ:

    • กระทะและน้ำมัน:
      • กระทะเหล็กหรือเทฟลอน: พื้นผิวเรียบ ช่วยลดการติดกระทะ
      • น้ำมันท่วม: ปลาร้าสุกทั่วถึง
      • น้ำมันร้อนจัด: ปลาร้ากรอบ ไม่อมน้ำมัน
    • ควบคุมไฟ:
      • ไฟกลาง: ทอดจนเหลือง
      • ลดไฟอ่อน: ทอดต่อจนกรอบ
    • เทคนิคพิเศษ:
      • ชุบแป้งทอดกรอบ: เพิ่มความกรอบ
      • ทอดแบบ Deep Fry: กรอบทั่วทั้งชิ้น

    เคล็ดลับป้องกันน้ำมันกระเด็น:

    • ซับปลาร้าให้แห้ง: ลดความชื้น
    • น้ำมันร้อนจัด: ลดการดูดซึมน้ำมัน
    • ใส่เกลือเล็กน้อย: ช่วยลดการกระเด็น
    • ใช้ฝาตะแกรง: ป้องกันน้ำมันกระเด็น

    เสิร์ฟและเก็บรักษา:

    • เสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ และผักสด
    • เก็บในภาชนะปิดสนิทในตู้เย็น

    ข้อควรระวัง:

    • ระวังน้ำมันกระเด็นและความร้อน
    • ทานแต่พอดี เพื่อสุขภาพที่ดี
    กันแดดหน้า VS กันแดดตัว: ใช้สลับกันได้ไหม

    กันแดดหน้า VS กันแดดตัว: ใช้สลับกันได้ไหม

    ปกป้องผิวจากแสงแดด: ไขข้อสงสัยเรื่องครีมกันแดดทาหน้าและทาตัว

    แสงแดดที่ดูสดใสอาจเป็นอันตรายต่อผิวของคุณ รังสียูวีในแสงแดดเป็นสาเหตุของริ้วรอยก่อนวัย จุดด่างดำ และมะเร็งผิวหนัง การใช้ครีมกันแดดจึงเป็นสิ่งสำคัญในการปกป้องผิวของคุณ

    https://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-7805754432663340&output=html&h=280&adk=844064945&adf=1272090958&pi=t.aa~a.619441740~i.7~rp.4&w=820&abgtt=6&fwrn=4&fwrnh=100&lmt=1741167204&num_ads=1&rafmt=1&armr=3&sem=mc&pwprc=9262819881&ad_type=text_image&format=820×280&url=https%3A%2F%2Fchivabeauty.blogspot.com%2F2025%2F03%2Fblog-post.html&host=pub-1556223355139109&fwr=0&pra=3&rh=200&rw=820&rpe=1&resp_fmts=3&wgl=1&fa=27&uach=WyJXaW5kb3dzIiwiMTUuMC4wIiwieDg2IiwiIiwiMTMxLjAuNjc3OC4yNjUiLG51bGwsMCxudWxsLCI2NCIsW1siR29vZ2xlIENocm9tZSIsIjEzMS4wLjY3NzguMjY1Il0sWyJDaHJvbWl1bSIsIjEzMS4wLjY3NzguMjY1Il0sWyJOb3RfQSBCcmFuZCIsIjI0LjAuMC4wIl1dLDBd&dt=1741167310408&bpp=6&bdt=5210&idt=7&shv=r20250303&mjsv=m202502260101&ptt=9&saldr=aa&abxe=1&cookie=ID%3D5dac98945ad1addf%3AT%3D1731916417%3ART%3D1741167309%3AS%3DALNI_MYqYBiYUzUjdHjMCEGjQJ5ocQnYuw&gpic=UID%3D00000f6de1f993dd%3AT%3D1731916417%3ART%3D1741167309%3AS%3DALNI_MaA2dbK9Bp5m9OgnR1Eiyvuvos6DA&eoidce=1&prev_fmts=0x0%2C1519x695&nras=3&correlator=6793278053696&frm=20&pv=1&u_tz=420&u_his=2&u_h=864&u_w=1536&u_ah=816&u_aw=1536&u_cd=24&u_sd=1.25&dmc=8&adx=160&ady=728&biw=1519&bih=695&scr_x=0&scr_y=0&eid=31090736%2C31090746%2C95354315%2C95354325%2C95354334%2C95350016%2C95352177%2C95353781&oid=2&pvsid=3571645222893410&tmod=1562870987&uas=0&nvt=1&fc=384&brdim=0%2C0%2C0%2C0%2C1536%2C0%2C0%2C0%2C1536%2C695&vis=1&rsz=%7C%7Cs%7C&abl=NS&fu=128&bc=31&bz=0&td=1&tdf=2&psd=W251bGwsbnVsbCxudWxsLDNd&nt=1&ifi=5&uci=a!5&btvi=1&fsb=1&dtd=M

    หลายคนสงสัยว่าครีมกันแดดทาหน้าสามารถใช้ทาตัวได้หรือไม่ และครีมกันแดดทาตัวสามารถใช้ทาหน้าได้หรือไม่ บทความนี้จะตอบคำถามเหล่านี้และให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเลือกใช้ครีมกันแดด

    ครีมกันแดดทาหน้าใช้ทาตัวได้ไหม?

    • คุณสามารถใช้ครีมกันแดดทาหน้ากับส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้ เช่น มือ แต่ไม่ควรใช้กับริมฝีปาก
    • ครีมกันแดดทาหน้ามักมีสูตรที่อ่อนโยนกว่า เหมาะสำหรับผิวหน้าที่บอบบางและลดความเสี่ยงของการระคายเคืองและการอุดตันรูขุมขน
    • ครีมกันแดดทาตัวอาจมีเนื้อสัมผัสที่หนักกว่าและให้ความชุ่มชื้นมากกว่า

    ข้อควรระวัง:

    • หากคุณมีผิวแพ้ง่าย ควรหลีกเลี่ยงการใช้ครีมกันแดดทาตัวบนใบหน้า
    • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าครีมกันแดดที่คุณเลือกมีค่า SPF และ PA ที่เหมาะสม

    เคล็ดลับการทาครีมกันแดดอย่างมีประสิทธิภาพ:

    • ทาครีมกันแดด 15 นาทีก่อนออกแดด เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ซึมเข้าสู่ผิวและทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
    • ทาครีมกันแดดก่อนแต่งตัว เพื่อให้แน่ใจว่าคุณทาได้อย่างทั่วถึง
    • ใช้กระจกบานใหญ่เพื่อช่วยให้คุณทาครีมกันแดดในบริเวณที่เข้าถึงยาก เช่น กลางหลังและหลังขา

    สรุป:

    • ครีมกันแดดทาหน้าและทาตัวมีความแตกต่างกันในด้านสูตรและเนื้อสัมผัส
    • คุณสามารถใช้ครีมกันแดดทาหน้าทาตัวได้ แต่ควรระวังการใช้ครีมกันแดดทาตัวบนใบหน้าหากคุณมีผิวแพ้ง่าย
    • การทาครีมกันแดดอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญในการปกป้องผิวจากแสงแดด
    วิตามินและอาหารเสริมที่ควรเลี่ยงตอนกลางคืน มีอะไรบ้าง

    วิตามินและอาหารเสริมที่ควรเลี่ยงตอนกลางคืน มีอะไรบ้าง


    มีหลายเหตุผลที่คุณไม่ควรรับประทานอาหารเสริมบางชนิดในเวลากลางคืน ตัวอย่างเช่น อาหารเสริมบางประเภทอาจมีน้ำตาลหรือคาเฟอีน ซึ่งอาจรบกวนการนอนหลับได้ อีกทั้งวิตามินบางชนิดที่ละลายในไขมัน เช่น วิตามินเอ ดี อี และเค ควรรับประทานพร้อมอาหารเพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้น แต่ไม่แนะนำให้รับประทานอาหารมื้อใหญ่ในช่วงเย็น อาหารเสริม 6 ชนิดต่อไปนี้จึงเหมาะสำหรับการรับประทานในช่วงเช้าหรือกลางวันมากกว่า

    6 วิตามินและอาหารเสริมที่ไม่ควรรับประทานตอนกลางคืน

    1. วิตามินบี

    วิตามินบีควรรับประทานในตอนเช้า เนื่องจากมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนอาหารให้เป็นพลังงานและช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า วิตามินบี 12 โดยเฉพาะสามารถช่วยลดความเหนื่อยล้าและอาการซึมเศร้าได้ อย่างไรก็ตาม วิตามินบีอาจมีผลกระตุ้นการเผาผลาญ ทำให้เกิดปัญหานอนไม่หลับหากรับประทานในช่วงดึก โชคดีที่วิตามินบีละลายในน้ำ สามารถรับประทานได้โดยไม่จำเป็นต้องมีอาหารรองท้อง

    2. วิตามินรวมและสมุนไพรที่ให้พลังงาน

    วิตามินรวมมักมีวิตามินบีและสารให้พลังงานอื่นๆ เช่น คาเฟอีน สารสกัดจากชาเขียว และโคเอนไซม์คิวเทน ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพการนอนหลับ นอกจากนี้ สมุนไพรที่ช่วยกระตุ้นพลังงาน เช่น กัวรานา โสม และหน่อไม้ฝรั่ง ก็ควรหลีกเลี่ยงในช่วงกลางคืน

    3. วิตามินดี

    วิตามินดีเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน และควรรับประทานพร้อมอาหารที่มีไขมันเพื่อช่วยเพิ่มการดูดซึม มีงานวิจัยพบว่า การรับประทานวิตามินดีในปริมาณมากอาจลดการผลิตเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยในการนอนหลับ เนื่องจากวิตามินดีมักเชื่อมโยงกับแสงแดด ร่างกายอาจเข้าใจผิดว่าควรตื่นตัวมากกว่าพักผ่อน ดังนั้นการรับประทานวิตามินดีในเวลากลางคืนอาจรบกวนการนอนหลับได้

    4. แคลเซียม

    แม้ว่าการรับประทานแคลเซียมในเวลากลางคืนจะไม่รบกวนการนอนหลับโดยตรง แต่แคลเซียมอาจลดประสิทธิภาพของแมกนีเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและนอนหลับได้ดีขึ้น นอกจากนี้ วิตามินดีช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม ดังนั้นจึงควรรับประทานทั้งสองชนิดในช่วงกลางวันหรือมื้ออาหารหลัก และควรแบ่งการรับประทานแคลเซียมเป็น 2 ครั้ง ครั้งละ 500-600 มก. เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองจากการได้รับแคลเซียมมากเกินไป

    5. วิตามินซี

    วิตามินซีสามารถละลายในน้ำและย่อยได้ง่ายแม้รับประทานขณะท้องว่าง อย่างไรก็ตาม วิตามินซีมีความเป็นกรดสูง อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองกระเพาะอาหาร โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคกรดไหลย้อน การรับประทานวิตามินซีในตอนเย็นอาจไม่เหมาะสมสำหรับบางคน การเลือกวิตามินซีรูปแบบที่ไม่เป็นกรด เช่น แคลเซียมแอสคอร์เบต อาจช่วยลดการระคายเคืองได้

    6. สังกะสี

    สังกะสีเป็นแร่ธาตุสำคัญที่มักพบในวิตามินรวม หรือรับประทานร่วมกับวิตามินซี การดูดซึมของสังกะสีมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อรับประทานขณะท้องว่าง แต่ก็อาจทำให้เกิดอาการปวดท้องได้ ดังนั้นควรรับประทานพร้อมอาหารที่ไม่มีผลิตภัณฑ์จากนม เนื่องจากสังกะสีแข่งขันกับธาตุเหล็กและแคลเซียมในการดูดซึม ซึ่งอาจลดประสิทธิภาพของกันและกันหากรับประทานร่วมกันในช่วงดึก

    สรุป

    หากต้องการให้การรับประทานวิตามินและอาหารเสริมมีประสิทธิภาพสูงสุด ควรพิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสมในการรับประทาน วิตามินและอาหารเสริมที่ช่วยเพิ่มพลังงานหรือกระตุ้นการเผาผลาญ เช่น วิตามินบี วิตามินดี และวิตามินรวม ควรรับประทานในช่วงเช้าหรือกลางวัน ในขณะที่วิตามินหรือแร่ธาตุที่ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย เช่น แมกนีเซียม ควรรับประทานในช่วงเย็นเพื่อช่วยในการนอนหลับ การเลือกเวลาที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์จากอาหารเสริมอย่างเต็มที่โดยไม่รบกวนการพักผ่อนของร่างกาย

    วิธีกินอาหารให้ถูกลำดับ เพิ่มการเผาผลาญ ลดน้ำหนักง่ายขึ้น

    การรับประทานอาหารในแต่ละวันมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพ เนื่องจากอาหารเป็นแหล่งพลังงานและสารอาหารที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก อาจสงสัยว่าทำไมแม้จะทานอาหารน้อยลงแต่น้ำหนักยังไม่ลดลง บางครั้งปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่ปริมาณอาหารเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ลำดับการรับประทานอาหาร การจัดลำดับการทานให้เหมาะสมสามารถช่วยให้การลดน้ำหนักมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงช่วยเสริมระบบเผาผลาญของร่างกายให้ทำงานได้ดีขึ้น

    ลำดับการรับประทานอาหารที่เหมาะสม

    1. ดื่มน้ำก่อนอาหาร
    เริ่มต้นมื้ออาหารด้วยการดื่มน้ำเปล่า จะช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหาร ทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ส่งผลให้ทานอาหารในปริมาณที่เหมาะสมมากขึ้น

    2. ทานผักและโปรตีนก่อน
    หลังจากดื่มน้ำ ควรเริ่มต้นมื้ออาหารด้วยผักหรือสลัดที่มีไฟเบอร์สูง เพราะใยอาหารช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล ลดระดับน้ำตาลในเลือด และทำให้อิ่มเร็วขึ้น จากนั้นจึงตามด้วยโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ หรือเต้าหู้ ซึ่งช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและกระตุ้นระบบเผาผลาญให้ทำงานได้ดีขึ้น

    3. ทานคาร์โบไฮเดรตเป็นลำดับสุดท้าย
    ข้าว แป้ง และน้ำตาล เป็นแหล่งพลังงานที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่ควรรับประทานเป็นลำดับสุดท้ายและในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อลดการกระตุ้นอินซูลินที่ทำให้เกิดไขมันสะสม การกินคาร์โบไฮเดรตหลังโปรตีนและไฟเบอร์ยังช่วยให้ร่างกายค่อยๆ ดูดซึมน้ำตาล ลดความเสี่ยงของระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูง

    สรุป

    การเรียงลำดับการทานอาหารใหม่ โดยเริ่มจาก ดื่มน้ำ → ผักและโปรตีน → คาร์โบไฮเดรต สามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ส่งเสริมการเผาผลาญ และช่วยให้การลดน้ำหนักได้ผลดียิ่งขึ้น นอกจากการจัดลำดับอาหารแล้ว อย่าลืมเลือกอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว

    อาหารมื้อเล็กๆ บ่อยๆ ดีจริงหรือ? เผยความจริงเกี่ยวกับการเผาผลาญและระดับน้ำตาลในเลือด

    อาหารมื้อเล็กๆ บ่อยๆ ดีจริงหรือ? เผยความจริงเกี่ยวกับการเผาผลาญและระดับน้ำตาลในเลือด

    ความถี่ของมื้ออาหาร: ควรกินวันละกี่มื้อจึงจะดีที่สุด?

    มีข้อมูลที่หลากหลายเกี่ยวกับจำนวนมื้ออาหารที่ “เหมาะสมที่สุด” ผู้เชี่ยวชาญบางคนแนะนำให้กินอาหารเช้าเพื่อกระตุ้นการเผาผลาญ และแบ่งอาหารออกเป็น 5-6 มื้อต่อวันเพื่อรักษาการเผาผลาญให้คงที่ อย่างไรก็ตาม งานวิจัยที่ผ่านมายังให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน และยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าการกินอาหารบ่อยขึ้นช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่

    บทความนี้จะพาคุณสำรวจว่าควรกินอาหารกี่มื้อต่อวัน พร้อมวิเคราะห์ผลกระทบด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้อง

    การกินอาหารบ่อยขึ้นช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญหรือไม่?

    อัตราการเผาผลาญคือปริมาณแคลอรี่ที่ร่างกายใช้ไปในแต่ละวัน มีความเชื่อว่าการกินอาหารมื้อเล็กๆ บ่อยครั้งจะช่วยเร่งการเผาผลาญ แต่ในความเป็นจริง นี่เป็นเพียงความเข้าใจผิด

    แม้ว่าการย่อยอาหารจะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญได้เล็กน้อย ซึ่งเรียกว่า Thermic Effect of Food (TEF) หรือ “ผลกระทบทางความร้อนของอาหาร” แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ ปริมาณอาหารรวมที่รับประทานในแต่ละวัน ไม่ใช่จำนวนมื้อ

    ตัวอย่างเช่น

    • หากกิน 3 มื้อต่อวัน มื้อละ 800 แคลอรี่
    • หรือกิน 6 มื้อต่อวัน มื้อละ 400 แคลอรี่

    ปริมาณพลังงานที่ใช้ในการย่อยอาหารก็จะเท่ากัน ไม่ได้มีผลต่อการเผาผลาญแต่อย่างใด งานวิจัยหลายฉบับสรุปว่า ไม่มีหลักฐานว่าการแบ่งมื้ออาหารเพิ่มขึ้นช่วยเร่งการเผาผลาญหรือทำให้เผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น

    การกินอาหารบ่อยขึ้นช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดความหิวได้หรือไม่?

    บางคนเชื่อว่าการกินบ่อยๆ จะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ และลดความอยากอาหาร แต่การศึกษากลับพบว่า การกินอาหารมื้อใหญ่แต่น้อยมื้ออาจดีกว่า

    • คนที่กินมื้อใหญ่น้อยมื้อมีระดับน้ำตาลเฉลี่ยต่ำกว่า แม้จะมีการพุ่งขึ้นของน้ำตาลเป็นช่วงๆ แต่โดยรวมยังต่ำกว่าผู้ที่กินมื้อย่อยบ่อยๆ
    • การกินมื้อใหญ่แต่น้อยมื้อช่วยเพิ่มความอิ่ม ลดความหิวได้ดีกว่าการกินบ่อยๆ

    นอกจากนี้ งานวิจัยยังระบุว่า การกินอาหารเช้าอาจช่วยปรับสมดุลระดับน้ำตาลในเลือดได้ การกินมื้อหนักในช่วงเช้าอาจช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดโดยรวมของวันลดลง

    ควรกินอาหารเช้าหรือไม่?

    “อาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดของวัน” จริงหรือ?

    หลายคนเชื่อว่าอาหารเช้าจำเป็นต่อการกระตุ้นการเผาผลาญและช่วยลดน้ำหนัก งานวิจัยเชิงสังเกตพบว่าผู้ที่งดอาหารเช้ามักมีแนวโน้มเป็นโรคอ้วนมากกว่า แต่ไม่ได้หมายความว่าอาหารเช้าเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยลดน้ำหนัก

    สาเหตุอาจเป็นเพราะคนที่กินอาหารเช้าส่วนใหญ่มักมีพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพโดยรวม เช่น เลือกอาหารที่มีประโยชน์มากกว่า ในขณะที่คนที่งดอาหารเช้าอาจมีแนวโน้มเลือกอาหารที่มีแคลอรี่สูงในมื้อต่อไป

    อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานว่าการกินอาหารเช้าช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ หรือช่วยลดน้ำหนักได้โดยตรง

    สำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือมีปัญหาระดับน้ำตาลในเลือด อาหารเช้าอาจช่วยควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีขึ้น การศึกษาพบว่าการงดอาหารเช้าทำให้ระดับน้ำตาลพุ่งสูงขึ้นหลังจากกินมื้อกลางวันและมื้อเย็น

    การอดอาหารเป็นช่วงๆ ดีต่อสุขภาพหรือไม่?

    Intermittent Fasting (IF) หรือการอดอาหารเป็นช่วงๆ กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น โดยอาจเป็นการงดอาหารบางมื้อ หรืออดอาหารยาวนาน 24 ชั่วโมงเป็นครั้งคราว

    แม้บางคนจะกังวลว่าอาจทำให้ร่างกายเข้าสู่ “โหมดอดอยาก” และสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ แต่งานวิจัยพบว่า การอดอาหารช่วงสั้นอาจช่วยเพิ่มการเผาผลาญในระยะเริ่มต้น ก่อนที่การเผาผลาญจะลดลงเมื่ออดอาหารเป็นเวลานาน

    https://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?gdpr=0&client=ca-pub-7805754432663340&output=html&h=280&adk=3019572609&adf=3980772412&pi=t.aa~a.858031026~i.26~rp.4&w=960&abgtt=9&fwrn=4&fwrnh=100&lmt=1740470379&num_ads=1&rafmt=1&armr=3&sem=mc&pwprc=1424552520&ad_type=text_image&format=960×280&url=https%3A%2F%2Ftaryeeblogger.blogspot.com%2F2025%2F02%2Fblog-post_24.html&host=ca-host-pub-1556223355139109&fwr=0&pra=3&rh=200&rw=960&rpe=1&resp_fmts=3&wgl=1&fa=27&uach=WyJXaW5kb3dzIiwiMTUuMC4wIiwieDg2IiwiIiwiMTMxLjAuNjc3OC4yNjUiLG51bGwsMCxudWxsLCI2NCIsW1siR29vZ2xlIENocm9tZSIsIjEzMS4wLjY3NzguMjY1Il0sWyJDaHJvbWl1bSIsIjEzMS4wLjY3NzguMjY1Il0sWyJOb3RfQSBCcmFuZCIsIjI0LjAuMC4wIl1dLDBd&dt=1740470427731&bpp=2&bdt=4478&idt=2&shv=r20250220&mjsv=m202502200101&ptt=9&saldr=aa&abxe=1&cookie=ID%3Da33fdf45aef7f962%3AT%3D1726473877%3ART%3D1740470426%3AS%3DALNI_MZPjHA5MNTNdmakeIiVR7v32wIFBQ&gpic=UID%3D00000f0b62bed474%3AT%3D1726473877%3ART%3D1740470426%3AS%3DALNI_MYinWxkikitY7B3yqYOQQpXw6Bjnw&eoidce=1&prev_fmts=0x0%2C1519x695%2C960x280&nras=4&correlator=4984707170277&frm=20&pv=1&u_tz=420&u_his=2&u_h=864&u_w=1536&u_ah=816&u_aw=1536&u_cd=24&u_sd=1.25&dmc=8&adx=107&ady=2266&biw=1519&bih=695&scr_x=0&scr_y=0&eid=95344789%2C95353420%2C95347433%2C95348348%2C95350016&oid=2&pvsid=3163947166122666&tmod=1202998381&uas=0&nvt=1&fc=384&brdim=0%2C0%2C0%2C0%2C1536%2C0%2C0%2C0%2C1536%2C695&vis=1&rsz=%7C%7Cs%7C&abl=NS&cms=1&fu=128&bc=31&bz=0&td=1&tdf=2&psd=W251bGwsbnVsbCxudWxsLDNd&nt=1&ifi=4&uci=a!4&btvi=2&fsb=1&dtd=36218

    งานวิจัยในมนุษย์และสัตว์ยังพบว่า การอดอาหารเป็นช่วงๆ มีประโยชน์หลายด้าน เช่น
    ✅ เพิ่มความไวต่ออินซูลิน
    ✅ ลดระดับน้ำตาลและอินซูลินในเลือด
    ✅ กระตุ้นกระบวนการออโตฟาจี (Autophagy) ซึ่งช่วยกำจัดของเสียระดับเซลล์และอาจชะลอความชรา

    สรุป

    ✅ การกินอาหารบ่อยขึ้นไม่ได้ช่วยให้เผาผลาญดีขึ้น และไม่ได้ช่วยให้ลดน้ำหนักได้
    ✅ การกินน้อยมื้ออาจดีกว่า ในแง่ของการควบคุมระดับน้ำตาลและลดความหิว
    ✅ อาหารเช้าอาจมีประโยชน์สำหรับบางคน โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาระดับน้ำตาลในเลือด แต่ไม่จำเป็นสำหรับทุกคน
    ✅ การอดอาหารเป็นช่วงๆ อาจช่วยปรับปรุงสุขภาพได้ แต่ควรทำอย่างเหมาะสม

    สุดท้ายแล้ว คำแนะนำที่ดีที่สุดเกี่ยวกับมื้ออาหารคือ ฟังร่างกายของตัวเอง
    🥗 เมื่อหิว ให้กิน
    🚫 เมื่ออิ่ม ให้หยุด

    ครีมกันแดดแบบไหนดีที่สุด? เจาะลึก 5 ประเภทครีมกันแดดที่คุณควรรู้ก่อนซื้อ


    ครีมกันแดด
     ไอเทมสำคัญที่ขาดไม่ได้! รู้จัก 5 ประเภทก่อนเลือกซื้อให้เหมาะกับผิวคุณ

    ครีมกันแดดกลายเป็นปัจจัยที่ 5 ของชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะสาว ๆ ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลผิว ไม่ว่าจะออกไปทำงาน เรียน หรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง การเลือกครีมกันแดดที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ปัจจุบันมีครีมกันแดดหลากหลายประเภท เพื่อตอบโจทย์ปัญหาผิวที่แตกต่างกัน เราจึงขอแนะนำ 5 ประเภทของครีมกันแดด ที่คุณควรรู้ก่อนตัดสินใจซื้อ

    1. ครีมกันแดดแบบดูดซับ

    ครีมกันแดดประเภทนี้มีคุณสมบัติในการดูดซับรังสีอินฟราเรดและรังสี UV เข้าสู่เนื้อครีม แทนที่จะปล่อยให้รังสีทำร้ายผิวโดยตรง ถือเป็นเกราะป้องกันผิวชั้นดี เหมาะสำหรับคนที่ต้องเผชิญกับแสงแดดแรง ๆ เป็นเวลานาน

    2. ครีมกันแดดแบบเคลือบผิว

    เรียกอีกชื่อว่า “ฟิล์มฟอร์เมอร์” ครีมกันแดดชนิดนี้ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันผิวจากรังสี UV และมลภาวะต่าง ๆ เช่น ฝุ่นละอองหรือเชื้อโรค โดยสารเคลือบนี้สามารถป้องกันการเกาะติดของสิ่งสกปรก ทำให้ทำความสะอาดได้ง่ายขึ้น ลดโอกาสการอุดตันรูขุมขน

    3. ครีมกันแดดป้องกันอนุมูลอิสระ

    กันแดดประเภทนี้ไม่ได้มีดีแค่ป้องกันแดดเท่านั้น แต่ยังช่วยบำรุงผิวด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี วิตามินอี และสารสกัดจากธรรมชาติ ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ดูอ่อนเยาว์ขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการบำรุงควบคู่ไปกับการปกป้องผิว

    4. ครีมกันแดดแบบสร้างเกราะป้องกันผิว

    เหมาะสำหรับคนที่มีผิวบอบบาง แพ้ง่าย หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีมลภาวะสูง กันแดดประเภทนี้ช่วยเสริมความแข็งแรงให้ผิว ป้องกันการระคายเคืองจากแสงแดด ฝุ่น PM 2.5 และลดความเสี่ยงในการเกิดผิวแห้งกร้าน

    5. ครีมกันแดดสำหรับทุกสภาพผิว

    ครีมกันแดดรุ่นใหม่ได้รับการพัฒนาให้สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้ง ผิวมัน หรือผิวแพ้ง่าย มักมีเนื้อสัมผัสที่เบาสบาย เช่น แบบเจล แบบเอสเซ้นส์ หรือเนื้อครีมที่แตกตัวเป็นน้ำ ลดความมันส่วนเกิน และให้ความรู้สึกสบายผิว

    เลือกครีมกันแดดให้เหมาะสม เพื่อผิวสวยกระจ่างใส

    การเลือกครีมกันแดดที่ดี ไม่เพียงแต่ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด แต่ยังช่วยลดปัญหาผิวต่าง ๆ ได้อีกด้วย อย่าลืมพิจารณาคุณสมบัติของครีมกันแดดให้เหมาะกับสภาพผิวและไลฟ์สไตล์ของคุณ เพื่อให้การปกป้องผิวมีประสิทธิภาพสูงสุด

    แจกสูตรสเต็กหมูน้ำมันหอย เนื้อนุ่มซอสเด็ด เคล็ดลับความอร่อยที่ต้องลอง

    แจกสูตรสเต็กหมูน้ำมันหอย เนื้อนุ่มซอสเด็ด เคล็ดลับความอร่อยที่ต้องลอง

    วิธีทำสเต็กหมูน้ำมันหอย นุ่ม ฉ่ำ ซอสรสเด็ด

    วัตถุดิบ:

    • เนื้อหมูสันคอหรือสันนอก 200 กรัม
    • น้ำมันหอย 2 ช้อนโต๊ะ
    • ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
    • น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
    • กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
    • พริกไทยป่น ½ ช้อนชา
    • น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
    • เนยจืด 1 ช้อนโต๊ะ (สำหรับเพิ่มความหอม)
    • ผักเครื่องเคียง (เช่น แครอท บรอกโคลี มันฝรั่งอบ)

    วิธีทำ:

    1. หมักหมู: ผสมหมูเข้ากับน้ำมันหอย ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย กระเทียมสับ และพริกไทย คลุกให้เข้ากัน หมักไว้ในตู้เย็นอย่างน้อย 30 นาที หรือถ้ามีเวลาหมักข้ามคืนจะยิ่งนุ่มขึ้น
    2. เตรียมกระทะ: ตั้งกระทะให้ร้อน ใส่น้ำมันพืชลงไป แล้วนำหมูลงย่างโดยใช้ไฟกลาง
    3. ย่างให้สุกกำลังดี: กลับด้านเมื่อเริ่มมีสีสวย ทอดประมาณ 3-4 นาทีต่อด้าน (ขึ้นอยู่กับความหนาของเนื้อหมู)
    4. เพิ่มความฉ่ำ: ใส่เนยลงไปในกระทะ พร้อมตักเนยราดลงบนเนื้อหมูเพื่อเพิ่มความหอมและช่วยให้เนื้อฉ่ำมากขึ้น
    5. เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียง: นำหมูขึ้นจากกระทะ พักไว้ 2-3 นาทีให้เนื้อเซ็ตตัว แล้วจัดเสิร์ฟพร้อมผักลวกหรือมันฝรั่งอบ

    เคล็ดลับ:

    • ใช้เนื้อสันคอจะช่วยให้เนื้อหมูนุ่มและไม่แห้งเกินไป
    • สามารถใส่ซอสเพิ่มขณะย่างเพื่อให้รสชาติเข้มข้นขึ้น
    • เสิร์ฟคู่กับข้าวสวยหรือขนมปังก็อร่อยไม่แพ้กัน

    ลองทำดู แล้วคุณจะติดใจในความนุ่มฉ่ำของสเต็กหมูน้ำมันหอย! 🍽🔥

    แคปชั่นวันวาเลนไทน์

    แคปชั่นวันวาเลนไทน์: สร้างความหวานให้กับวันแห่งความรัก

    วันวาเลนไทน์ใกล้เข้ามาแล้ว หลายคนคงกำลังมองหาแคปชั่นเก๋ๆ ไว้โพสต์ลงโซเชียลมีเดียเพื่อบอกรักคนที่คุณรัก หรือแม้แต่จะโพสต์รูปคู่สุดหวานให้เพื่อนๆ อิจฉาเล่นๆ วันนี้เราจึงรวบรวมแคปชั่นวันวาเลนไทน์หลากหลายสไตล์ มาฝากกัน เพื่อให้คุณได้เลือกใช้ให้เข้ากับคู่ของคุณ หรือกับสถานการณ์ของคุณมากที่สุด

    แคปชั่นวันวาเลนไทน์สไตล์หวานซึ้ง

    • สำหรับคนรัก:
      • “รักเธอทุกวัน ไม่ใช่แค่ในวันวาเลนไทน์”
      • “ขอบคุณที่ทำให้ทุกวันเป็นวันวาเลนไทน์”
      • “รักเธอมากขึ้นทุกวัน”
      • “เธอคือทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน”
      • “อยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับเธอ”
    • สำหรับเพื่อน:
      • “ขอบคุณที่มีเพื่อนดีๆ อย่างเธอเสมอมา”
      • “รักเพื่อนนะ รักแบบเพื่อน”
      • “มีเพื่อนแบบเธอชีวิตไม่เหงาเลย”
      • “เพื่อนคือครอบครัวที่เราเลือกเอง”

    แคปชั่นวันวาเลนไทน์สไตล์ฮาๆ

    • “วันวาเลนไทน์ปีนี้ขอให้มีคนมาจีบเยอะๆ นะคะ (แต่ขอให้เป็นคนรวยๆ)”
    • “วันวาเลนไทน์ปีนี้ขอให้โสดเหมือนเดิม แต่ขอให้เงินในบัญชีไม่โสด”
    • “วันวาเลนไทน์ปีนี้ขอให้เจอคนที่ใช่สักที ไม่ใช่เจอแต่คนใช้”
    • “วันวาเลนไทน์ปีนี้ขอให้มีคนมาให้ช็อกโกแลตเยอะๆ นะ”

    แคปชั่นวันวาเลนไทน์สไตล์กวนๆ

    • “วันวาเลนไทน์ปีนี้ขอให้โสดแบบสบายใจ”
    • “วันวาเลนไทน์ไม่สำคัญเท่ากับวันเงินเดือนออก”
    • “วันวาเลนไทน์ก็เหมือนวันธรรมดาๆ วันหนึ่ง แต่มีดอกไม้แพงๆ”
    • “วันวาเลนไทน์ปีนี้ขอให้เจอคนที่ใช่สักที ไม่ใช่เจอแต่คนใช้”

    แคปชั่นวันวาเลนไทน์ภาษาอังกฤษ

    • “Happy Valentine’s Day to my everything.” (สุขสันต์วันวาเลนไทน์นะ ที่รักของฉัน)
    • “I love you more than words can say.” (ฉันรักเธอมากกว่าที่คำพูดจะบรรยายได้)
    • “You are the reason I smile.” (เธอคือเหตุผลที่ทำให้ฉันยิ้ม)
    • “Every love story is beautiful, but ours is my favorite.” (เรื่องราวความรักทุกเรื่องสวยงาม แต่เรื่องราวของเรานั้นสวยงามที่สุดสำหรับฉัน)

    เคล็ดลับการเลือกแคปชั่น

    • เลือกแคปชั่นที่สื่อถึงความรู้สึกของคุณ: ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความสุข หรือแม้แต่ความฮา
    • เลือกแคปชั่นที่เข้ากับรูปภาพ: รูปภาพและแคปชั่นควรสอดคล้องกัน
    • ใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติ: ไม่จำเป็นต้องใช้ภาษาที่เป็นทางการมากเกินไป
    • เพิ่มความน่าสนใจด้วย Emoji: Emoji จะช่วยให้แคปชั่นของคุณดูมีสีสันมากขึ้น

    ตัวอย่างการนำไปใช้:

    • รูป: คู่รักกำลังเดินจูงมือกันริมทะเล
      • แคปชั่น: “ขอบคุณที่เดินเคียงข้างกันมาตลอด”
    • รูป: ช็อกโกแลตรูปหัวใจ
      • “ของขวัญวันวาเลนไทน์ที่ชอบที่สุด”
    • รูป: เซลฟี่คู่กับเพื่อน
      • “เพื่อนคือครอบครัวที่เราเลือกเอง”

    คำแนะนำเพิ่มเติม:

    • สร้างสรรค์แคปชั่นของคุณเอง: ไม่จำเป็นต้องใช้แคปชั่นที่เหมือนคนอื่นๆ ลองสร้างสรรค์แคปชั่นที่เป็นเอกลักษณ์ของคุณเอง
    • ใช้แอปพลิเคชันสร้างภาพ: เพิ่มลูกเล่นให้กับภาพของคุณด้วยแอปพลิเคชันสร้างภาพต่างๆ
    • แบ่งปันความรู้สึกของคุณ: วันวาเลนไทน์เป็นโอกาสที่ดีที่จะบอกรักคนที่คุณรัก

    หวังว่าไอเดียเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ในการสร้างสรรค์แคปชั่นวันวาเลนไทน์ของคุณนะคะ ขอให้คุณมีความสุขกับวันแห่งความรักค่ะ!

    ประโยชน์ของการรับประทานอาหารเช้าสำหรับสุขภาพหัวใจและการลดคอเลสเตอรอล

    ประโยชน์ของการรับประทานอาหารเช้าสำหรับสุขภาพหัวใจและการลดคอเลสเตอรอล

    อาหารเช้า: จุดเริ่มต้นสำคัญสำหรับการลดคอเลสเตอรอลและสุขภาพหัวใจ

    หลายคนคงเคยได้ยินว่า “อาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดของวัน” แม้ว่าจะมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่จะให้ความสำคัญกับมื้อแรกของวัน โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดคอเลสเตอรอลและดูแลสุขภาพหัวใจ อาหารเช้าถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี งานวิจัยยังพบว่าผู้ที่รับประทานอาหารเช้าอย่างน้อยสัปดาห์ละสามครั้ง มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

    เวลาทานอาหารเช้ามีผลต่อคอเลสเตอรอลหรือไม่?

    ควรรับประทานอาหารเช้าทันทีหลังตื่นนอน หรือสามารถจิบกาแฟก่อนได้? เรื่องของเวลามีผลต่อสุขภาพหัวใจจริงหรือไม่? นักโภชนาการแนะนำว่าการรับประทานอาหารเช้าเร็วขึ้นอาจให้ประโยชน์มากกว่า

    Veronica Rouse, RD, CDE นักโภชนาการด้านสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด กล่าวว่า “อาหารเช้าที่สมดุลช่วยให้วันของคุณดำเนินไปในทิศทางที่ดีต่อสุขภาพหัวใจ” เธอแนะนำให้ทานอาหารเช้าภายใน 2 ชั่วโมงหลังจากตื่นนอน เพื่อช่วยจัดการระดับคอเลสเตอรอล

    Lisa Andrews, M.Ed., RD, LD นักโภชนาการและผู้ก่อตั้ง Sound Bites Nutrition เห็นด้วย เธออ้างถึงงานวิจัยที่เชื่อมโยงการงดอาหารเช้ากับระดับคอเลสเตอรอล LDL ที่สูงขึ้น อีกทั้งการรับประทานอาหารเช้าแต่เนิ่น ๆ ยังช่วยให้คุณไม่เผลองดมื้อเช้าเพราะความเร่งรีบ และลดโอกาสในการทานอาหารมื้อถัดไปมากเกินไป

    ประโยชน์ของการรับประทานอาหารเช้า

    การรับประทานอาหารเช้าที่ดีต่อสุขภาพมีข้อดีหลายประการ นอกจากช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นแล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง

    อาหารเช้าส่งผลดีต่อระดับคอเลสเตอรอลได้อย่างไร?

    Lisa Andrews อธิบายว่า “ผลไม้ที่มักรับประทานในมื้อเช้า เป็นแหล่งของวิตามิน แร่ธาตุ สารพฤกษเคมี และไฟเบอร์ ขณะที่ขนมปังโฮลเกรนหรือซีเรียลสามารถให้วิตามินบี ซึ่งอาจช่วยลดโฮโมซิสเตอีนที่เป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจ”

    นอกจากนี้ ข้าวโอ๊ตบดยังเป็นที่ทราบกันดีว่ามีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้

    อาหารเช้าที่ช่วยลดคอเลสเตอรอล

    Rouse แนะนำว่า การเลือกอาหารจากพืชมากขึ้นในตอนเช้า เป็นทางเลือกที่ดี เช่น

    • ผักและผลไม้
    • ถั่วและเมล็ดพืช
    • ธัญพืชเต็มเมล็ด

    อาหารเหล่านี้อุดมไปด้วย ไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ ไขมันไม่อิ่มตัว สเตอรอลจากพืช และโปรตีนจากพืช ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LDL ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีปริมาณไขมันอิ่มตัวต่ำ ซึ่งเป็นตัวการสำคัญของคอเลสเตอรอลสูง

    อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงในมื้อเช้า

    หากคุณต้องการลดคอเลสเตอรอล ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูงและไขมันอิ่มตัว เช่น

    • โดนัท
    • ขนมอบ
    • อาหารแปรรูป

    แม้ว่าจะยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดว่าน้ำตาลส่งผลโดยตรงต่อระดับคอเลสเตอรอลหรือไม่ แต่ส่วนใหญ่อาหารเหล่านี้มักมีไขมันอิ่มตัวสูง ซึ่งสามารถเพิ่มคอเลสเตอรอล LDL ได้

    ไอเดียอาหารเช้าลดคอเลสเตอรอล

    หากคุณกำลังมองหาเมนูอาหารเช้าที่ดีต่อหัวใจ ลองพิจารณาตัวเลือกเหล่านี้
    ✅ ข้าวโอ๊ตค้างคืนฟักทอง-อินทผาลัม – เมนูที่อัดแน่นด้วยไฟเบอร์สูง
    ✅ มันเทศ ข้าวโพด และแฮชถั่วดำ – ให้ไฟเบอร์มากถึง 15 กรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค

    การเริ่มต้นวันใหม่ด้วยอาหารเช้าที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ไม่เพียงแต่ช่วยลดคอเลสเตอรอล แต่ยังช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มนานขึ้นและลดโอกาสในการทานอาหารว่างที่ไม่ดีต่อสุขภาพในระหว่างวัน


    เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

    ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

    คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

    จัดการความเป็นส่วนตัว
    • เปิดใช้งานตลอด

    บันทึกการตั้งค่า