ข่าวสารวันนี้

ส่องข่าวสาร แวดวงการเมือง อัปเดตรายวัน

    Category Archive : ผู้หญิง

    วิธีเลือกอะโวคาโด

    วิธีเลือกอะโวคาโดให้ได้ผลสุกกำลังดี อร่อยถูกใจ

    อะโวคาโด ผลไม้สุดฮิตที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ด้วยเนื้อสัมผัสเนียนนุ่ม รสชาติมันๆ หอมละมุน และมีประโยชน์ต่อสุขภาพสูง แต่หลายคนก็ยังสับสนในการเลือกซื้ออะโวคาโดให้ได้ผลที่สุกกำลังดี วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจ และเผยเคล็ดลับในการเลือกซื้ออะโวคาโดให้ได้ผลที่อร่อยถูกใจกันค่ะ

    วิธีเลือกอะโวคาโด

    • สังเกตสี: ผลอะโวคาโดที่สุกกำลังดีจะมีเปลือกสีเขียวเข้ม หรืออาจมีสีม่วงอมดำเล็กน้อย โดยเฉพาะบริเวณใกล้ขั้วผล
    • สัมผัส: กดเบาๆ ที่ผลอะโวคาโด ถ้ารู้สึกนิ่มเล็กน้อยทั่วผล แสดงว่าสุกกำลังดี หากแข็งมากแสดงว่ายังดิบอยู่ แต่ถ้ากดแล้วบุ๋มลงไปมาก แสดงว่าสุกเกินไป เนื้ออาจจะเละได้
    • ดูที่ขั้ว: ขั้วผลอะโวคาโดที่สุกจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล และเมื่อกดเบาๆ จะรู้สึกนิ่ม
    • เขย่า: ลองเขย่าผลอะโวคาโดเบาๆ ถ้าได้ยินเสียงเมล็ดขยับภายใน แสดงว่าสุกกำลังดี แต่ถ้าเงียบสนิทอาจจะยังดิบอยู่
    • สังเกตขนาด: ผลอะโวคาโดที่มีขนาดใหญ่ มักจะมีเนื้อเยอะกว่าผลเล็ก
    • หลีกเลี่ยงผลที่มีรอยช้ำ: ผลอะโวคาโดที่มีรอยช้ำ รอยบุบ หรือรอยด่าง จะมีรสชาติไม่อร่อย และอาจเน่าเสียได้เร็ว

    เคล็ดลับการเร่งให้อะโวคาโดสุกเร็วขึ้น

    • วิธีที่ 1: ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์: ห่อผลอะโวคาโดด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ แล้วเก็บไว้ในที่อุณหภูมิห้องประมาณ 1-2 วัน เอทิลีนที่ปล่อยออกมาจากผลไม้จะช่วยเร่งให้สุกเร็วขึ้น
    • วิธีที่ 2: ใช้กล้วย: วางผลอะโวคาโดไว้ใกล้ๆ กล้วยสุก กล้วยจะปล่อยแก๊สเอทิลีนออกมา ช่วยเร่งให้อะโวคาโดสุกเร็วขึ้น
    • วิธีที่ 3: ใช้เตาอบ: อุ่นเตาอบที่อุณหภูมิต่ำ ประมาณ 100 องศาเซลเซียส วางผลอะโวคาโดบนถาด แล้วอบประมาณ 10-15 นาที วิธีนี้จะช่วยให้เนื้ออะโวคาโดนิ่มเร็วขึ้น

    วิธีเก็บรักษาอะโวคาโดให้สด

    • อะโวคาโดที่ยังไม่สุก: เก็บไว้ในที่อุณหภูมิห้อง
    • อะโวคาโดที่สุกแล้ว: หากยังไม่พร้อมทาน สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นช่องผักได้ แต่เนื้อจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลได้เร็วขึ้น
    • อะโวคาโดที่หั่นแล้ว: หากหั่นอะโวคาโดออกมาแล้วทานไม่หมด สามารถเก็บไว้ในตู้เย็น โดยห่อด้วยพลาสติกแรปให้แน่นๆ หรือจะราดด้วยน้ำมะนาวเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อเปลี่ยนสี

    เคล็ดลับเพิ่มเติม:

    • หากต้องการให้อะโวคาโดสุกช้าลง สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นช่องผักได้
    • อะโวคาโดที่สุกกำลังดี จะมีเนื้อสีเหลืองอ่อน หรือสีเขียวอ่อน เนื้อนุ่ม และมีรสชาติมันๆ หอมละมุน
    ใบบัวบก โทษ

    ใบบัวบก สมุนไพรยอดนิยม แต่มีโทษที่ควรรู้

    ใบบัวบกเป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีสรรพคุณทางยาที่หลากหลาย อาทิ ช่วยบำรุงสมอง เพิ่มความจำ แก้ปัญหาผิว และลดอาการอักเสบ ทำให้มีการนำใบบัวบกมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นอาหารเสริม เครื่องสำอาง หรือผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ

    แต่ทราบหรือไม่ว่า ใบบัวบกก็มีโทษที่อาจเกิดขึ้นได้หากบริโภคในปริมาณที่มากเกินไป หรือผู้ที่มีสภาวะสุขภาพบางอย่าง

    โทษของใบบัวบก

    • ผลกระทบต่อระบบประสาท: แม้ว่าใบบัวบกจะช่วยบำรุงสมอง แต่การบริโภคในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน และง่วงซึมได้
    • กดระบบประสาทส่วนกลาง: ใบบัวบกมีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง หากใช้ร่วมกับยาที่มีฤทธิ์กดประสาท เช่น ยานอนหลับ ยาแก้ปวด อาจทำให้เกิดอาการง่วงซึมมากเกินไป และส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาท
    • ลดความดันโลหิต: ใบบัวบกมีฤทธิ์ช่วยลดความดันโลหิต ผู้ป่วยความดันโลหิตต่ำ หรือผู้ที่กำลังรับประทานยาลดความดันโลหิต ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานใบบัวบก
    • เพิ่มความเสี่ยงเลือดออก: ใบบัวบกมีฤทธิ์ต่อต้านการแข็งตัวของเลือด ผู้ที่กำลังรับประทานยาละลายลิ่มเลือด หรือมีแผลเปิด ควรระมัดระวังในการใช้ใบบัวบก
    • ปฏิกิริยาระหว่างยา: ใบบัวบกอาจมีปฏิกิริยากับยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด ยาต้านเชื้อรา และยาต้านการอักเสบไม่สเตียรอยด์ จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้

    ใครบ้างที่ไม่ควรรับประทานใบบัวบก

    • หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร: เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลเพียงพอเกี่ยวกับผลกระทบของใบบัวบกต่อทารกในครรภ์และทารกแรกเกิด
    • ผู้ป่วยโรคตับและไต: ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับและไต ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
    • ผู้ที่กำลังจะเข้ารับการผ่าตัด: ควรหยุดรับประทานใบบัวบกก่อนการผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออก
    • ผู้ที่แพ้ใบบัวบก: ผู้ที่แพ้ใบบัวบก อาจมีอาการแพ้ เช่น ผื่นคัน บวม

    ข้อควรระวังในการใช้ใบบัวบก

    • ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร: ก่อนใช้ใบบัวบก ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล
    • อ่านฉลากอย่างละเอียด: ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของใบบัวบก ควรอ่านฉลากอย่างละเอียด เพื่อตรวจสอบปริมาณที่เหมาะสมและข้อควรระวัง
    • ไม่ควรใช้ใบบัวบกเกินขนาดที่กำหนด: การใช้ใบบัวบกในปริมาณที่มากเกินไป อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้
    • หยุดใช้ทันทีหากมีอาการผิดปกติ: หากมีอาการผิดปกติหลังจากรับประทานใบบัวบก ควรหยุดใช้ทันที และปรึกษาแพทย์

    สรุป ใบบัวบกเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีโทษของใบบัวบกที่อาจเกิดขึ้นได้หากใช้ไม่ถูกวิธี การใช้ใบบัวบกอย่างปลอดภัยควรอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ

    คอลลาเจน โทษ

    โทษของคอลลาเจน ด้านมืดที่คุณอาจไม่เคยรู้

    คอลลาเจน เป็นโปรตีนที่ได้รับความนิยมอย่างมากในวงการความงามและสุขภาพ เนื่องจากเชื่อกันว่าช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง ชะลอวัย และบำรุงข้อต่อให้แข็งแรง แต่ทว่า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจนก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่เราควรพิจารณาให้รอบคอบ

    ข้อดีของคอลลาเจน

    • บำรุงผิวพรรณ: ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ลดเลือนริ้วรอย และทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์
    • บำรุงข้อต่อ: ช่วยลดอาการปวดข้อ บำรุงกระดูกอ่อน และเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อ
    • บำรุงผมและเล็บ: ช่วยให้ผมและเล็บแข็งแรงขึ้น ลดปัญหาผมขาดและเล็บเปราะ
    • ช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อ: คอลลาเจนเป็นส่วนประกอบสำคัญของกล้ามเนื้อ ช่วยในการซ่อมแซมและสร้างกล้ามเนื้อใหม่

    ผลข้างเคียงและโทษของคอลลาเจน

    แม้ว่าคอลลาเจนจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีข้อควรระวังและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนี้

    • ผลข้างเคียง: การรับประทานคอลลาเจนอาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง และปฏิกิริยาแพ้ในบางราย
    • ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพียงพอ: แม้จะมีการศึกษาเกี่ยวกับคอลลาเจนมามากมาย แต่ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนและเพียงพอที่จะยืนยันประสิทธิภาพในการรักษาโรคต่างๆ
    • ราคาสูง: ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจนส่วนใหญ่มีราคาค่อนข้างสูง อาจเป็นภาระทางการเงินสำหรับบางคน
    • ไม่เหมาะสำหรับทุกคน: ผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือแพ้อาหารทะเล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานคอลลาเจน

    สรุป

    คอลลาเจนเป็นสารอาหารที่เป็นที่นิยมและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ก่อนที่จะตัดสินใจรับประทาน ควรพิจารณาประโยชน์และโทษของคอลลาเจนให้ดี และปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้คำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของตนเอง

    เมนูอาหารเจ

    อาหารเจ ทำเองง่ายๆ อร่อยครบรส ไม่ต้องง้อร้าน

    เทศกาลกินเจใกล้เข้ามาแล้ว หลายคนคงกำลังมองหาเมนูอาหารเจแสนอร่อยทำทานเองที่บ้านใช่ไหมคะ? ไม่ต้องกังวลไปค่ะ วันนี้เรามีเมนูอาหารเจง่ายๆ ที่ทำตามได้ไม่ยาก มาฝากกันหลายเมนูเลยทีเดียว รับรองว่าอร่อยถูกปากแน่นอน

    ทำไมต้องทำอาหารเจกินเอง?

    • ควบคุมวัตถุดิบ: เลือกวัตถุดิบที่สดใหม่ ปลอดสารพิษ ได้ตามใจชอบ
    • อร่อยและมีประโยชน์: ปรุงรสชาติได้ตามชอบ เน้นผักสด ผลไม้ และโปรตีนจากพืช
    • ประหยัดค่าใช้จ่าย: ทำเองได้ในปริมาณที่ต้องการ ไม่ต้องซื้อแพง
    • สนุกกับการทำอาหาร: ได้เรียนรู้สูตรอาหารใหม่ๆ และสร้างสรรค์เมนูได้หลากหลาย

    เมนูอาหารเจง่ายๆ ทำเองได้ที่บ้าน

    • ผัดผักรวมมิตร: เมนูเบสิคที่ทำง่าย เพียงแค่เตรียมผักหลากสีสัน เช่น แครอท ฟักทอง ถั่วฝักยาว ผัดกับซอสปรุงรสเจ ก็อร่อยแล้ว
    • ต้มจืดเต้าหู้: เมนูสุขภาพ อิ่มท้อง ด้วยเต้าหู้เนื้อนุ่ม ผักกาดขาว เห็ดหอม ต้มกับน้ำซุปใสๆ ปรุงรสด้วยซอสปรุงรสเจ
    • ผัดกระเพราเต้าหู้: เมนูสุดฮิตที่ทำเป็นเจได้ เพียงแค่เปลี่ยนเนื้อสัตว์เป็นเต้าหู้หมัก หรือโปรตีนเกษตร ผัดกับพริกแกงเขียวหวานเจ
    • แกงเขียวหวานเจ: เมนูแกงรสจัดจ้าน หอมเครื่องแกงเขียวหวาน ใช้เต้าหู้ หรือเห็ดแทนเนื้อสัตว์
    • ผัดไทยเจ: เมนูเส้นยอดนิยม เพียงแค่เปลี่ยนเส้นหมี่เป็นเส้นจันท์ หรือเส้นก๋วยเตี๋ยวหลอด แล้วผัดกับซอสผัดไทยเจ
    • ข้าวผัดเจ: ข้าวสวยร้อนๆ ผัดกับผักหลากสีสัน และไข่เจ
    • ส้มตำเจ: เปรี้ยว เผ็ด เค็ม หวาน ครบรส สดชื่น
    • ยำวุ้นเส้นเจ: วุ้นเส้นเหนียวนุ่ม คลุกเคล้ากับน้ำยำรสเด็ด

    เคล็ดลับการทำอาหารเจให้อร่อย

    • เลือกวัตถุดิบสดใหม่: วัตถุดิบสดใหม่จะช่วยให้อาหารมีรสชาติอร่อย
    • ปรุงรสด้วยสมุนไพร: ใช้สมุนไพรไทย เช่น ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมและรสชาติ
    • ใช้เครื่องปรุงรสเจ: มีจำหน่ายมากมายหลากหลายชนิด เช่น ซอสปรุงรสเจ น้ำปลาเจ ซีอิ๊วขาวเจ
    • สร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ: ลองปรับเปลี่ยนสูตรอาหารเดิมๆ ให้เป็นเมนูเจ

    ตัวอย่างสูตรอาหารเจ ผัดผักรวมมิตร

    วัตถุดิบ

    • ผักรวมมิตร (แครอท, ฟักทอง, ถั่วฝักยาว, กะหล่ำปลี)
    • เห็ด
    • น้ำมันพืช
    • ซอสปรุงรสเจ
    • น้ำตาลทราย
    • พริกไทย

    วิธีทำ

    1. หั่นผักและเห็ดเป็นชิ้นพอคำ
    2. ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืช พอร้อนนำผักลงผัดจนสุก
    3. ปรุงรสด้วยซอสปรุงรสเจ น้ำตาลทราย และพริกไทย ชิมรสตามชอบ
    4. ตักเสิร์ฟ

    เพียงเท่านี้ก็ได้เมนูอาหารเจอร่อยๆ ทานเองที่บ้านแล้วค่ะ ลองทำตามสูตรนี้ หรือจะปรับเปลี่ยนวัตถุดิบตามชอบก็ได้นะคะ

    โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

    โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด: ความรู้เบื้องต้นที่คุณควรรู้

    โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดคืออะไร?

    โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (Congenital heart disease) คือภาวะที่หัวใจและหลอดเลือดใหญ่มีโครงสร้างผิดปกติตั้งแต่เกิด ซึ่งเกิดจากความผิดพลาดในการเจริญเติบโตของหัวใจในช่วงที่ทารกอยู่ในครรภ์ โรคนี้สามารถพบได้ในทารกแรกเกิดทุก 100 คน และมีหลากหลายรูปแบบความรุนแรง

    สาเหตุของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

    สาเหตุที่แน่ชัดของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ปัจจัยเสี่ยงบางประการที่อาจเกี่ยวข้อง ได้แก่

    • พันธุกรรม: มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
    • ปัจจัยสิ่งแวดล้อม: การติดเชื้อในระหว่างตั้งครรภ์ การได้รับสารพิษ เช่น ยาบางชนิด แอลกอฮอล์ หรือสารเสพติด
    • โรคประจำตัวของมารดา: โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคติดเชื้อบางชนิด

    อาการของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

    อาการของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของโรค แต่โดยทั่วไปอาจพบอาการดังนี้

    • หายใจลำบาก: หายใจเร็ว หอบเหนื่อย
    • สีผิวซีด: โดยเฉพาะบริเวณริมฝีปากและเล็บ
    • เหนื่อยง่าย: แม้จะทำกิจวัตรประจำวัน
    • น้ำหนักตัวไม่ขึ้น: เด็กเติบโตช้า
    • หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
    • บวม: ที่ขาหรือท้อง

    การวินิจฉัยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

    แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดได้โดยอาศัยประวัติการเจ็บป่วย การตรวจร่างกาย และการตรวจเพิ่มเติม เช่น

    • ฟังเสียงหัวใจ: แพทย์จะใช้หูฟังเพื่อฟังเสียงผิดปกติของหัวใจ
    • เอกซเรย์ทรวงอก: เพื่อดูขนาดและรูปร่างของหัวใจ
    • คลื่นไฟฟ้าหัวใจ: เพื่อตรวจสอบการทำงานของไฟฟ้าในหัวใจ
    • อัลตราซาวด์หัวใจ: เป็นการตรวจที่สำคัญที่สุดในการวินิจฉัยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
    • การสวนหัวใจ: เพื่อตรวจสอบโครงสร้างของหัวใจโดยละเอียด

    การรักษาโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

    การรักษาโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดจะขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของโรค โดยอาจรักษาด้วย

    • ยา: เพื่อควบคุมอาการและลดความดันในหลอดเลือด
    • การผ่าตัด: เพื่อแก้ไขความผิดปกติของโครงสร้างหัวใจ

    การดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

    ผู้ป่วยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดจำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ โดยอาจต้องได้รับยาตามที่แพทย์สั่ง และเข้ารับการตรวจสุขภาพตามนัดหมายอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ผู้ปกครองควรให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพทั่วไปของเด็ก เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกาย และการพักผ่อนให้เพียงพอ

    คำแนะนำสำหรับผู้ปกครอง:

    • ปรึกษาแพทย์: หากสงสัยว่าบุตรหลานมีอาการของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง
    • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์: ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
    • ดูแลสุขภาพของบุตรหลาน: ให้บุตรหลานได้รับวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ ตามกำหนด
    • ให้กำลังใจบุตรหลาน: สร้างความเข้าใจและให้กำลังใจบุตรหลานอยู่เสมอ

    หมายเหตุ: ข้อมูลนี้เป็นเพียงข้อมูลทั่วไป ไม่สามารถใช้ทดแทนคำแนะนำจากแพทย์ได้ ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

    ท่าก้มเก็บของที่ถูกต้อง

    ท่าก้มเก็บของที่ถูกต้อง ป้องกันอาการปวดหลัง

    ปัญหาปวดหลัง เป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน หนึ่งในสาเหตุสำคัญมาจากการยกของหรือก้มเก็บของที่ไม่ถูกวิธี ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อและกระดูกสันหลังได้ ดังนั้น การเรียนรู้ท่าก้มเก็บของที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันอาการปวดหลัง

    ทำไมการก้มเก็บของที่ผิดจึงเป็นอันตราย?

    • แรงกดทับที่กระดูกสันหลัง: การก้มตัวลงเก็บของโดยไม่งอเข่าจะทำให้กระดูกสันหลังส่วนล่างรับน้ำหนักมากเกินไป อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บที่หมอนรองกระดูกสันหลังได้
    • การบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อ: การใช้กล้ามเนื้อหลังในการยกของหนักหรือก้มตัวบ่อยๆ อาจทำให้กล้ามเนื้อตึงและปวดเมื่อยได้
    • การบาดเจ็บที่เส้นประสาท: ในบางกรณี การยกของที่ไม่ถูกวิธีอาจไปกดทับเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการปวดร้าวลงขาได้

    ท่าก้มเก็บของที่ถูกต้อง

    1. เข้าใกล้สิ่งของ: เดินเข้าไปใกล้สิ่งของที่จะยกให้มากที่สุด เพื่อลดระยะทางที่ต้องเอื้อม
    2. ย่อเข่า: ก่อนจะหยิบของ ให้ค่อยๆ ย่อเข่าลง โดยรักษาหลังให้ตรง
    3. จับให้แน่น: จับสิ่งของให้แน่นและแนบชิดตัว
    4. ใช้ขาในการยก: เมื่อจะยกของขึ้นมา ให้ใช้แรงจากขาในการดันตัวขึ้นมา โดยรักษาหลังให้ตรง
    5. หันทั้งตัว: หากต้องการหันไปทางอื่นขณะถือของ ให้หันทั้งตัวไปพร้อมกัน โดยหลีกเลี่ยงการบิดเอว

    เคล็ดลับเพิ่มเติม

    • แบ่งน้ำหนัก: หากของหนักเกินไป ให้แบ่งออกเป็นส่วนเล็กๆ หรือขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น
    • หลีกเลี่ยงการก้มตัวลงต่ำเกินไป: หากสิ่งของอยู่ต่ำมาก ควรใช้เข่าคุกเข่าลงไปแทนการก้มตัว
    • วอร์มร่างกายก่อนทำงาน: การวอร์มร่างกายก่อนทำงานจะช่วยให้กล้ามเนื้ออุ่นและยืดหยุ่น ทำให้ลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บได้
    • พักผ่อนให้เพียงพอ: การพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายได้ฟื้นฟูและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ

    สรุป

    การก้มเก็บของที่ถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันอาการปวดหลัง การฝึกฝนท่าทางที่ถูกต้องและปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้ จะช่วยให้คุณมีสุขภาพร่างกายที่ดีและหลีกเลี่ยงปัญหาสุขภาพที่ไม่พึงประสงค์ได้

    ค่า BMI

    ทำยังไงให้ค่า BMI ปกติ สุขภาพดีไปตลอดชีวิต

    ค่า BMI คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ?

    ดัชนีมวลกาย หรือ BMI (Body Mass Index) เป็นตัวชี้วัดที่ใช้ประเมินว่าน้ำหนักตัวของเราอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่ โดยคำนวณจากน้ำหนักตัว (กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูงยกกำลังสอง (เมตร) ค่า BMI ที่อยู่ในเกณฑ์ปกติจะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง

    ทำไมต้องรักษาค่า BMI ให้ปกติ?

    • ลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง: ค่า BMI ที่ไม่ปกติ เช่น อ้วนหรือผอมเกินไป จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ มากมาย
    • เพิ่มความแข็งแรงของร่างกาย: การมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสมจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง มีพลังงานในการทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • เพิ่มความมั่นใจในตัวเอง: การมีรูปร่างที่สมส่วนจะช่วยให้เรารู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น

    วิธีทำให้ค่า BMI ปกติ

    1. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน:
      • เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช ไม่ทานอาหารแปรรูป อาหารทอด และอาหารที่มีน้ำตาลสูง
      • ควบคุมปริมาณอาหาร: กินให้อิ่มพอดี อย่ากินจนอิ่มเกินไป
      • ดื่มน้ำให้เพียงพอ: การดื่มน้ำช่วยให้ร่างกายทำงานได้เป็นปกติ และช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น
      • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล: เช่น น้ำอัดลม ชานมไข่มุก
    2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ:
      • เลือกชนิดกีฬาที่ชอบ: การออกกำลังกายที่เราชอบจะช่วยให้เราทำได้อย่างต่อเนื่อง
      • ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน: ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์
      • หาคู่หูออกกำลังกาย: การออกกำลังกายกับเพื่อนหรือคนในครอบครัวจะช่วยให้เราสนุกและมีแรงบันดาลใจมากขึ้น
    3. พักผ่อนให้เพียงพอ:
      • นอนหลับให้ครบ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน: การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเอง
      • หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ก่อนนอน: แสงสีฟ้าจากหน้าจอจะรบกวนการนอนหลับ
    4. ลดความเครียด:
      • หาเวลาผ่อนคลาย: เช่น การฟังเพลง การอ่านหนังสือ หรือการทำกิจกรรมที่ชอบ
      • ฝึกการหายใจลึกๆ: ช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล
    5. ปรึกษาแพทย์:
      • หากมีปัญหาสุขภาพ: ควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในการลดน้ำหนัก

    เคล็ดลับเพิ่มเติม:

    • ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและเป็นจริง: การตั้งเป้าหมายที่เล็กและสามารถทำได้จะช่วยให้เราไม่ท้อแท้
    • บันทึกอาหารและการออกกำลังกาย: การบันทึกจะช่วยให้เราเห็นความคืบหน้าและปรับปรุงพฤติกรรมได้
    • หาแรงบันดาลใจ: อ่านหนังสือหรือบทความเกี่ยวกับสุขภาพ ฟังเรื่องราวของคนที่ประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนัก

    การลดน้ำหนักและการรักษาค่า BMI ให้ปกติต้องใช้เวลาและความพยายาม แต่ผลลัพธ์ที่ได้จะคุ้มค่ากับความพยายามของคุณอย่างแน่นอน การมีสุขภาพที่ดีเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราสามารถมอบให้กับตัวเองได้

    อ่านเพิ่มเติม:

    แตงโมไม่ควรแช่ตู้เย็น

    ทำไมแตงโมไม่ควรแช่ตู้เย็น? เคล็ดลับเก็บแตงโมให้อร่อยนาน

    หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมแตงโมไม่ควรนำไปแช่ตู้เย็น คำตอบนั้นซ่อนอยู่ในการเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่เกิดขึ้นเมื่อแตงโมสัมผัสกับอุณหภูมิต่ำ

    ทำไมแตงโมจึงไม่ชอบความเย็น?

    • อาการสะท้านหนาว: เมื่อแตงโมถูกนำไปแช่ในตู้เย็น เนื้อแตงโมจะเกิดอาการสะท้านหนาว (Chilling injury) ทำให้เนื้อแตงโมเปลี่ยนสีเป็นจุดๆ รสชาติจืดชืด และเนื้อสัมผัสเปลี่ยนแปลงไป
    • การสูญเสียรสชาติ: ความเย็นจะทำลายเอนไซม์ที่ช่วยให้แตงโมมีรสชาติหวานฉ่ำ ทำให้รสชาติของแตงโมลดลงอย่างเห็นได้ชัด
    • การเติบโตของเชื้อรา: แม้ว่าตู้เย็นจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย แต่ความชื้นในตู้เย็นกลับเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมการเจริญเติบโตของเชื้อรา ซึ่งอาจทำให้แตงโมเน่าเสียได้เร็วขึ้น

    วิธีการเก็บแตงโมให้อร่อยนาน

    • อุณหภูมิห้อง: วิธีที่ดีที่สุดในการเก็บแตงโมคือการวางไว้ในที่ที่อุณหภูมิห้องปกติ หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง
    • ที่ร่ม: หากอากาศร้อนจัด สามารถนำแตงโมไปเก็บไว้ในที่ร่มที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก
    • ห่อด้วยกระดาษ: การห่อแตงโมด้วยกระดาษจะช่วยดูดซับความชื้นและป้องกันไม่ให้แตงโมสัมผัสกับอากาศโดยตรง
    • อย่าตัดแบ่ง: ควรตัดแตงโมเป็นชิ้นๆ เมื่อต้องการรับประทานเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อแตงโมสัมผัสกับอากาศและเสื่อมเสีย

    เคล็ดลับเพิ่มเติม

    • เลือกแตงโมสุก: เลือกแตงโมที่สุกงอมดีจะมีรสชาติหวานอร่อยกว่าแตงโมที่ยังไม่สุก
    • สังเกตสี: แตงโมสุกจะมีสีเหลืองอ่อนบริเวณรอยต่อกับพื้นดิน
    • เคาะเบาๆ: แตงโมสุกจะให้เสียงทุ้มเมื่อเคาะเบาๆ
    • ตรวจสอบน้ำหนัก: แตงโมสุกจะมีน้ำหนักค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับขนาด

    สรุป

    การเก็บแตงโมในอุณหภูมิที่เหมาะสมจะช่วยรักษารสชาติและคุณค่าทางอาหารได้อย่างยาวนาน การหลีกเลี่ยงการแช่ตู้เย็นจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเพลิดเพลินกับความอร่อยของแตงโม

    ทีรามิสุ

    ทีรามิสุ: ขนมหวานอิตาเลียนสุดคลาสสิก ที่ใครๆ ก็หลงรัก

    ทีรามิสุ (Tiramisu) เป็นขนมหวานยอดนิยมที่มีต้นกำเนิดจากประเทศอิตาลี มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ด้วยรสชาติที่กลมกล่อม หวานมันกำลังดี และเนื้อสัมผัสที่นุ่มละมุนลิ้น ทำให้ทีรามิสุกลายเป็นเมนูโปรดของคนรักขนมหวานมากมาย

    ที่มาของชื่อ “ทีรามิสุ”

    ชื่อ “ทีรามิสุ” ในภาษาอิตาเลียนแปลว่า “พาฉันขึ้นไปสู่สวรรค์” ซึ่งสื่อถึงความรู้สึกที่ได้รับหลังจากได้ลิ้มลองรสชาติของขนมหวานชนิดนี้ โดยชื่อนี้มีความเป็นมาที่น่าสนใจและมีความเชื่อที่แตกต่างกันไป

    ส่วนผสมหลักของทีรามิสุ

    • เลดี้ฟิงเกอร์: เป็นขนมปังชนิดหนึ่งที่มีรูปร่างยาวและบาง จุ่มลงในกาแฟเอสเปรสโซเพื่อเพิ่มรสชาติ
    • มาสคาร์โปเน: ชีสครีมชนิดหนึ่งที่มีต้นกำเนิดจากแคว้นลอมบาร์ดีของอิตาลี มีลักษณะนุ่มเนียนและมีรสชาติหวานมัน
    • ไข่แดง: ช่วยเพิ่มความเข้มข้นและความมันให้กับครีม
    • น้ำตาล: ให้ความหวาน
    • กาแฟเอสเปรสโซ: เพิ่มรสชาติขมและกลิ่นหอม
    • ผงโกโก้: โรยด้านบนเพื่อเพิ่มความสวยงามและรสชาติ

    วิธีทำทีรามิสุแบบง่ายๆ

    1. เตรียมเลดี้ฟิงเกอร์: จุ่มเลดี้ฟิงเกอร์ลงในกาแฟเอสเปรสโซที่ผสมกับเหล้าบามา (ถ้ามี) เพียงเล็กน้อย แล้วเรียงลงในภาชนะ
    2. ทำครีม: ตีไข่แดงกับน้ำตาลจนขึ้นฟู จากนั้นจึงผสมมาสคาร์โปเนลงไป คนให้เข้ากัน
    3. ประกอบ: เทครีมที่ได้ลงบนชั้นเลดี้ฟิงเกอร์ สลับชั้นกันไปเรื่อยๆ จนหมด
    4. ตกแต่ง: โรยผงโกโก้ด้านบนให้ทั่ว
    5. แช่เย็น: นำเข้าตู้เย็นประมาณ 2-3 ชั่วโมง ก่อนเสิร์ฟ

    ความหลากหลายของทีรามิสุ

    ปัจจุบันมีการดัดแปลงสูตรทีรามิสุให้มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น เพิ่มผลไม้สด หรือเปลี่ยนรสชาติของกาแฟ เป็นต้น แต่ไม่ว่าจะดัดแปลงอย่างไร ทีรามิซุก็นับว่าเป็นขนมหวานที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องทั่วโลก

    เคล็ดลับในการทำทีรามิสุให้อร่อย

    • เลือกวัตถุดิบคุณภาพดี: โดยเฉพาะมาสคาร์โปเน ควรเลือกที่มีความสดใหม่และมีคุณภาพดี
    • ควบคุมปริมาณกาแฟ: ไม่ควรจุ่มเลดี้ฟิงเกอร์ในกาแฟมากเกินไป เพราะจะทำให้รสชาติขมเกินไป
    • แช่เย็นให้พอดี: การแช่เย็นจะช่วยให้รสชาติของทีรามิสุเข้ากันได้ดีขึ้น
    • ตกแต่งให้สวยงาม: การโรยผงโกโก้หรือตกแต่งด้วยผลไม้สดจะช่วยเพิ่มความน่าทาน

    ทีรามิสุไม่เพียงแต่เป็นขนมหวานที่อร่อย แต่ยังเป็นตัวแทนของวัฒนธรรมอาหารอิตาเลียนที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก หากมีโอกาส ลองทำทีรามิสุทานเองที่บ้านดูนะคะ รับรองว่าจะติดใจ

    หมาถูกงูกัด

    หมาถูกงูกัด ต้องทำอย่างไร? สิ่งที่เจ้าของต้องรู้และปฏิบัติ

    เหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้เสมอสำหรับน้องหมา คือการถูกงูกัด ไม่ว่าจะเป็นงูพิษหรือไม่มีพิษ การที่หมาถูกงูกัดก็ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของน้องหมาได้อย่างรุนแรง ดังนั้น เจ้าของสุนัขจึงควรเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์นี้ เพื่อช่วยให้น้องหมาได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

    สัญญาณบ่งบอกว่าน้องหมาถูกงูกัด

    • รอยเขี้ยว: มองหารอยเขี้ยวสองรูที่บริเวณที่ถูกกัด
    • ปวด: น้องหมาจะแสดงอาการเจ็บปวด ร้องคราง หรือไม่ยอมให้สัมผัสบริเวณที่ถูกกัด
    • บวม: บริเวณที่ถูกกัดอาจบวมแดง
    • อาการอื่นๆ: อาจมีอาการอื่นๆ ตามมา เช่น เดินเซ เดินกะเผลก คลื่นไส้ อาเจียน หายใจลำบาก ชัก เป็นต้น

    สิ่งที่ควรทำเมื่อน้องหมาถูกงูกัด

    1. รักษาความสงบ: อย่าตื่นตระหนก รีบพาน้องหมาไปในที่ร่มและปลอดภัย
    2. จำลักษณะงู: หากสามารถจำลักษณะของงูได้ ให้ถ่ายรูปหรือจดบันทึกไว้ เพื่อนำข้อมูลไปบอกสัตวแพทย์
    3. ปฐมพยาบาลเบื้องต้น:
      • ล้างแผลเบาๆ ด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำเกลือ
      • ห้ามขันชะเนาะ หรือใช้ปากดูดพิษ
      • ห้ามใช้มีดกรีดแผล หรือทายาสมุนไพร
      • ห้ามให้ยาใดๆ นอกเหนือจากคำแนะนำของสัตวแพทย์
    4. รีบพาน้องหมาไปพบสัตวแพทย์: นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด การพาน้องหมาไปพบสัตวแพทย์โดยเร็วที่สุด จะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาและลดความรุนแรงของอาการ

    สิ่งที่สัตวแพทย์จะทำ

    • ตรวจร่างกาย: สัตวแพทย์จะตรวจร่างกายน้องหมาอย่างละเอียด เพื่อประเมินความรุนแรงของอาการ
    • ให้เซรุ่มต้านพิษ: หากจำเป็น สัตวแพทย์จะให้เซรุ่มต้านพิษงู เพื่อช่วยลดผลกระทบของพิษ
    • รักษาอาการอื่นๆ: สัตวแพทย์จะให้การรักษาตามอาการที่เกิดขึ้น เช่น ยาลดปวด ยาแก้อักเสบ ยาปฏิชีวนะ
    • ดูแลอย่างใกล้ชิด: น้องหมาอาจต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลสัตว์ เพื่อให้สัตวแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด

    การป้องกันน้องหมาจากการถูกงูกัด

    • หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีงูชุกชุม: เช่น ป่ารกชัฏ ทุ่งหญ้าสูง
    • ตรวจสอบสวนและบริเวณบ้าน: กำจัดแหล่งที่อยู่อาศัยของงู เช่น กองไม้ กองหญ้า
    • สวมรองเท้าให้กับน้องหมา: เมื่อพาน้องหมาไปเดินเล่นในที่โล่งแจ้ง
    • ฝึกสุนัขให้เชื่อฟังคำสั่ง: เพื่อป้องกันไม่ให้น้องหมาวิ่งเข้าไปในที่อันตราย

    การถูกงูกัดเป็นเหตุการณ์ฉุกเฉินที่ต้องรีบปฏิบัติอย่างถูกต้อง การพาน้องหมาไปพบสัตวแพทย์โดยเร็วที่สุด คือสิ่งสำคัญที่สุดในการช่วยชีวิตน้องหมา


    เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

    ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

    คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

    ยอมรับทั้งหมด
    จัดการความเป็นส่วนตัว
    • เปิดใช้งานตลอด

    บันทึกการตั้งค่า