ข่าวสารวันนี้

ส่องข่าวสาร แวดวงการเมือง อัปเดตรายวัน

    Category Archive : ผู้หญิง

    ท่าออกกําลังกาย ไม่กระโดด

    ท่าออกกำลังกาย ไม่กระโดด: เหมาะสำหรับทุกคน ทุกวัย

    สำหรับใครที่กำลังมองหาท่าออกกำลังกายที่ไม่ต้องกระโดด ไม่ก่อให้เกิดแรงกระแทกต่อข้อต่อ หรือต้องการออกกำลังกายเบาๆ ที่บ้าน วันนี้เรามีท่าออกกำลังกายที่ไม่ต้องกระโดดมาฝากกันค่ะ ท่าเหล่านี้เหมาะสำหรับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย สามารถทำได้ง่ายๆ ที่บ้านโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษมากมาย

    เหตุผลที่ควรเลือกท่าออกกำลังกายไม่กระโดด

    • ลดแรงกระแทกต่อข้อต่อ: เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาข้อเข่า ข้อเท้า หรือผู้สูงอายุ
    • ออกกำลังกายได้ต่อเนื่อง: ไม่ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บง่าย
    • สามารถทำได้ทุกที่: ไม่จำเป็นต้องไปยิม
    • เหมาะสำหรับทุกระดับความฟิต: สามารถปรับระดับความเข้มข้นได้ตามความต้องการ

    ท่าออกกำลังกายที่ไม่ต้องกระโดด

    ท่าบริหารส่วนบน

    • ท่าแพลงก์: ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว
    • ท่าปีกผีเสื้อ: ช่วยกระชับกล้ามเนื้อแขนและไหล่
    • ท่าวิดพื้น: ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้ออก ไหล่ และท้อง
    • ท่าโรมันเชียร์: ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อหลัง

    ท่าบริหารส่วนล่าง

    • ท่าสควอท: ช่วยกระชับกล้ามเนื้อต้นขาและก้น
    • ท่าลันจ์: ช่วยกระชับกล้ามเนื้อต้นขาและก้น
    • ท่าสะพาน: ช่วยกระชับกล้ามเนื้อก้นและหลังส่วนล่าง
    • ท่ายกขาขึ้น: ช่วยกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้องและต้นขา

    ท่าบริหารแกนกลางลำตัว

    • ท่าครั้นช์: ช่วยกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้อง
    • ท่าเลッグเรส: ช่วยกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้องส่วนล่าง
    • ท่าไซด์แพลงก์: ช่วยกระชับกล้ามเนื้อด้านข้างลำตัว

    เคล็ดลับในการออกกำลังกาย

    • วอร์มอัพ: ก่อนออกกำลังกายควรวอร์มอัพประมาณ 5-10 นาที เพื่อเตรียมร่างกาย
    • คูลดาวน์: หลังออกกำลังกายควรยืดเหยียดกล้ามเนื้อเพื่อคลายความเมื่อยล้า
    • ทำซ้ำ: ทำแต่ละท่าซ้ำประมาณ 10-15 ครั้ง ทำ 3 เซต
    • พักผ่อน: พักผ่อนระหว่างเซตประมาณ 30 วินาที – 1 นาที
    • ดื่มน้ำ: ดื่มน้ำให้เพียงพอระหว่างออกกำลังกาย

    ตัวอย่างโปรแกรมออกกำลังกาย

    • วันจันทร์: บริหารส่วนบน (แพลงก์, ปีกผีเสื้อ, วิดพื้น, โรมันเชียร์)
    • วันพุธ: บริหารส่วนล่าง (สควอท, ลันจ์, สะพาน, ยกขาขึ้น)
    • วันศุกร์: บริหารแกนกลางลำตัว (ครั้นช์, เล็กเรส, ไซด์แพลงก์)

    หมายเหตุ: โปรแกรมนี้เป็นเพียงตัวอย่าง สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมและความต้องการของแต่ละบุคคล

    ข้อควรระวัง

    • ปรึกษาแพทย์: ก่อนเริ่มออกกำลังกายควรปรึกษาแพทย์ หากมีโรคประจำตัว
    • ฟังสัญญาณร่างกาย: หากรู้สึกเจ็บปวด ให้หยุดพักทันที

    การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง สุขภาพดี และมีรูปร่างที่ดีขึ้น

    อาหารคลายเครียด

    อาหารคลายเครียด: เมนูช่วยลดความเครียด สู่จิตใจที่สงบ

    ความเครียดเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน การจัดการกับความเครียดจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง นอกจากการพักผ่อนและการออกกำลังกายแล้ว การรับประทานอาหารก็มีส่วนช่วยในการลดความเครียดได้เช่นกัน อาหารบางชนิดมีสารอาหารที่ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและจิตใจสงบ มาดูกันว่า อาหารคลายเครียดที่เรานำมาแนะนำในวันนี้นั้นมีอะไรบ้าง

    อาหารที่ช่วยลดความเครียด

    • ธัญพืชไม่ขัดสี: เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ควินัว อุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ช่วยเพิ่มระดับเซโรโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
    • กล้วย: อุดมไปด้วยวิตามินบี 6 และแมกนีเซียม ช่วยปรับสมดุลระดับน้ำตาลในเลือดและลดความเครียด
    • ถั่วเปลือกแข็ง: เช่น อัลมอนด์ วอลนัท อุดมไปด้วยวิตามินอีและแมกนีเซียม ช่วยลดความเครียดและปรับปรุงอารมณ์
    • ปลาที่มีไขมัน: เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยลดการอักเสบในร่างกายและปรับปรุงอารมณ์
    • ผักใบเขียว: เช่น ผักขม คะน้า บรอกโคลี อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ ช่วยลดความเครียดและป้องกันโรคต่างๆ
    • ดาร์กช็อกโกแลต: อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเครียดและปรับปรุงอารมณ์
    • ชาเขียว: ช่วยลดความเครียดและเพิ่มความตื่นตัว

    สารอาหารที่ช่วยลดความเครียด

    • ทริปโตแฟน: พบในอาหารประเภทโปรตีน เช่น ไก่ ไข่ ช่วยในการสร้างเซโรโทนิน
    • แมกนีเซียม: ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อและลดความวิตกกังวล
    • วิตามินบี: ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและลดความเครียด

    วิธีรับประทานอาหารเพื่อลดความเครียด

    • รับประทานอาหารให้เป็นเวลา: ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่
    • รับประทานอาหารมื้อเล็กๆ หลายมื้อ: ช่วยให้รู้สึกอิ่มอยู่เสมอ
    • หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป: อาหารแปรรูปมักมีโซเดียมและน้ำตาลสูง ซึ่งอาจทำให้เกิดความเครียดได้
    • ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ: เพื่อวางแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับสุขภาพของคุณ

    สรุป

    การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เป็นประจำ ถือเป็นการดูแลสุขภาพจิตที่ดีวิธีหนึ่ง การเลือกทานอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่ช่วยลดความเครียด จะช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายและมีสุขภาพที่ดีขึ้น

    ดื่มน้ํา ลดน้ําหนัก

    ดื่มน้ำ ลดน้ำหนัก: เคล็ดลับง่ายๆ ที่ใครๆ ก็ทำได้

    การดื่มน้ำเพียงพอเป็นหนึ่งในวิธีง่ายๆ ที่ช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลายคนอาจสงสัยว่าการดื่มน้ำจะช่วยลดน้ำหนักได้อย่างไร วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจและบอกเคล็ดลับการดื่มน้ำเพื่อลดน้ำหนักให้คุณได้รู้กัน

    ทำไมการดื่มน้ำจึงช่วยลดน้ำหนัก?

    • เพิ่มอัตราการเผาผลาญ: การดื่มน้ำจะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย ทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้มากขึ้น
    • ลดความอยากอาหาร: การดื่มน้ำก่อนอาหารจะช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ทำให้ทานอาหารได้น้อยลง
    • ช่วยในการขับถ่าย: น้ำจะช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ช่วยลดอาการท้องผูกและลดการสะสมของของเสียในร่างกาย
    • เพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกาย: การดื่มน้ำเพียงพอจะช่วยให้ร่างกายมีพลังงานในการออกกำลังกายได้อย่างเต็มที่

    เคล็ดลับการดื่มน้ำเพื่อลดน้ำหนัก

    • ดื่มน้ำก่อนอาหาร: การดื่มน้ำ 1-2 แก้วก่อนอาหารประมาณ 30 นาที จะช่วยลดความอยากอาหารและทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง
    • พกขวดน้ำติดตัว: พกขวดน้ำติดตัวไปทุกที่ เพื่อให้สามารถดื่มน้ำได้ตลอดเวลา
    • ดื่มน้ำแทนเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล: หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอัดลม น้ำหวาน หรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เพราะจะทำให้ได้รับพลังงานส่วนเกิน
    • สังเกตสัญญาณความกระหายน้ำ: ร่างกายจะส่งสัญญาณเตือนเมื่อขาดน้ำ ดังนั้นควรดื่มน้ำทันทีเมื่อรู้สึกกระหาย
    • ปรับปริมาณน้ำตามกิจกรรม: ในวันที่ออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมหนักๆ ควรดื่มน้ำให้มากขึ้น

    ปริมาณน้ำที่ควรดื่ม

    ปริมาณน้ำที่ควรดื่มในแต่ละวันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อุณหภูมิร่างกาย กิจกรรมที่ทำ และปริมาณเหงื่อที่ออก โดยทั่วไปแนะนำให้ดื่มน้ำประมาณ 8 แก้วต่อวัน แต่หากออกกำลังกายหนักหรืออยู่ในสภาพอากาศร้อน ควรดื่มน้ำให้มากกว่านี้

    สิ่งที่ควรระวัง

    • อย่าดื่มน้ำมากเกินไป: การดื่มน้ำมากเกินไปอาจทำให้เกิดภาวะน้ำเกินในร่างกายได้
    • เลือกดื่มน้ำเปล่า: น้ำเปล่าเป็นเครื่องดื่มที่ดีที่สุดสำหรับการลดน้ำหนัก
    • ปรึกษาแพทย์: หากมีข้อสงสัยหรือมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำ

    สรุป

    การดื่มน้ำเพียงพอเป็นวิธีที่ง่ายและปลอดภัยในการช่วยลดน้ำหนัก ควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดีและรูปร่างที่สมส่วน

    Black Friday 2024 คือ

    Black Friday 2024 คือวันอะไร? วันที่เท่าไร?

    แค่ได้ยินคำว่า Black Friday สาวๆ ทั้งหลายก็คงใจจดใจจ่อรอคอย เพราะเป็นวันแห่งการช้อปปิ้งที่แบรนด์ดังทั่วโลกพร้อมใจกันลดราคาแบบจัดเต็ม!

    Black Friday คืออะไร?

    Black Friday คือวันศุกร์แรกหลังวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving) ในสหรัฐอเมริกา เป็นวันเริ่มต้นฤดูการช้อปปิ้งปลายปีที่เหล่านักช้อปตั้งตารอคอย เพราะร้านค้าต่าง ๆ จะนำเสนอโปรโมชั่นสุดพิเศษ ลดราคาสินค้ามากมาย จนยอดขายพุ่งสูง ทำให้ธุรกิจกลับมามีกำไร หรือเรียกง่าย ๆ ว่า “เปลี่ยนจากยอดขายสีแดงเป็นสีดำ” นั่นเอง

    Black Friday 2024 ตรงกับวันที่เท่าไร?

    ในปี 2024 วัน Black Friday คือ วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน

    ทำไมต้อง Black Friday?

    จุดเริ่มต้นของ Black Friday เกิดจากปรากฏการณ์ที่ผู้คนแห่กันไปช้อปปิ้งหลังวันขอบคุณพระเจ้าจนเกิดความวุ่นวาย รถติด และร้านค้ามีรายได้พุ่งสูง จนกลายเป็นประเพณีการช้อปปิ้งที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก

    ปัจจุบันนี้ แม้ว่าสถานการณ์ในวัน Black Friday จะไม่วุ่นวายเหมือนในอดีตแล้ว แต่บรรยากาศการช้อปปิ้งก็ยังคงคึกคัก โดยเฉพาะในช่องทางออนไลน์ที่ทำให้การช้อปปิ้งสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

    คำแนะนำ:

    • เตรียมตัวให้พร้อม: ทำลิสต์สินค้าที่ต้องการ, เปรียบเทียบราคา, และศึกษาโปรโมชั่นของแต่ละร้านค้า
    • อย่าพลาดดีลดี ๆ: ติดตามข่าวสารและโปรโมชั่นผ่านช่องทางออนไลน์ของแบรนด์ที่คุณชื่นชอบ
    • ช้อปอย่างมีความสุข: เลือกซื้อสินค้าที่จำเป็นและถูกใจ ไม่ต้องรีบร้อนและเปรียบเทียบราคาให้ดี
    ฝรั่ง ข้อควรระวัง

    ฝรั่ง ผลไม้รสชาติหวานอมเปรี้ยว สรรพคุณมากมาย แต่ก็มีข้อควรระวัง

    ฝรั่ง เป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ แต่ปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก ด้วยรสชาติที่หวานอมเปรี้ยว เนื้อสัมผัสกรุบกรอบ และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว นอกจากรสชาติที่อร่อยแล้ว ฝรั่งยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุมากมาย ที่สำคัญยังมีสรรพคุณทางยาสมุนไพรอีกด้วย

    สรรพคุณของฝรั่ง

    • ช่วยย่อยอาหาร: ฝรั่งมีใยอาหารสูง ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบขับถ่าย ลดอาการท้องผูก
    • บำรุงสายตา: ฝรั่งอุดมไปด้วยวิตามินเอ ซึ่งมีส่วนช่วยในการบำรุงสายตา ป้องกันโรคตาเสื่อม
    • เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: วิตามินซีในฝรั่งช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันการติดเชื้อ
    • ลดคอเลสเตอรอล: ฝรั่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
    • บำรุงผิวพรรณ: วิตามินซีในฝรั่งช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส ช่วยลดเลือนริ้วรอย

    ข้อควรระวังในการรับประทานฝรั่ง

    แม้ว่าฝรั่งจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีบางกลุ่มคนที่ควรระวังในการรับประทานฝรั่ง ข้อควรระวัง ก็ดังนี้

    • ผู้ป่วยเบาหวาน: ฝรั่งมีน้ำตาลสูง การรับประทานในปริมาณมากอาจส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดได้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน
    • ผู้ที่กำลังจะผ่าตัด: ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานฝรั่งก่อนการผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เนื่องจากฝรั่งอาจทำให้น้ำตาลในเลือดลดลง ซึ่งอาจส่งผลต่อการควบคุมเลือดระหว่างการผ่าตัด
    • ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร: ผู้ที่มีอาการท้องเสียเรื้อรัง หรือมีแผลในกระเพาะอาหาร ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานฝรั่ง เนื่องจากใยอาหารในฝรั่งอาจกระตุ้นให้เกิดอาการเหล่านี้มากขึ้น
    • ผู้ที่มีอาการแพ้: ผู้ที่แพ้ละอองเกสรดอกไม้ หรือมีอาการแพ้อาหารบางชนิด ควรระวังอาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้นจากการรับประทานฝรั่ง

    วิธีการเลือกซื้อและเก็บรักษาฝรั่ง

    • เลือกฝรั่งที่สุกกำลังดี: ฝรั่งที่สุกกำลังดีจะมีเปลือกสีเหลืองอมเขียว เนื้อแน่น และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ
    • หลีกเลี่ยงฝรั่งที่มีรอยช้ำ: ฝรั่งที่มีรอยช้ำหรือรอยด่างอาจเน่าเสียได้ง่ายเก็บรักษา: สามารถเก็บฝรั่งไว้ในอุณหภูมิห้องได้ประมาณ 2-3 วัน หรือเก็บในตู้เย็นเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา

    สรุป ฝรั่งเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย แต่ก็ควรระวังในการรับประทาน โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากฝรั่งโดยไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ

    ผลไม้บำรุงสายตา

    ผลไม้บำรุงสายตา: ส่องแสงให้ดวงตาของคุณ

    สายตาเป็นของขวัญล้ำค่าที่เราทุกคนควรดูแลเป็นอย่างดี ในยุคที่ต้องใช้สายตามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ มองโทรศัพท์มือถือ หรือการขับรถ การบำรุงสายตาให้แข็งแรงจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หนึ่งในวิธีที่ง่ายและได้ผลดีในการบำรุงสายตาคือการรับประทานผลไม้บำรุงสายตา

    ทำไมผลไม้ถึงบำรุงสายตาได้?

    ผลไม้หลายชนิดอุดมไปด้วยวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็นต่อสุขภาพของดวงตา เช่น วิตามินเอ เบต้าแคโรทีน ลูทีน และซีแซนทีน สารอาหารเหล่านี้ช่วยป้องกันการเสื่อมของจอประสาทตา ลดความเสี่ยงของโรคตาต่างๆ เช่น ต้อกระจก และต้อหิน ช่วยให้สายตาคมชัด และยังช่วยลดอาการเมื่อยล้าของดวงตาจากการใช้สายตาเป็นเวลานานอีกด้วย

    ผลไม้บำรุงสายตาที่คุณไม่ควรพลาด

    • แครอท: เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของวิตามินเอ ซึ่งช่วยบำรุงสายตาในที่มืดและป้องกันโรคตาบอดกลางคืน
    • มะละกอ: อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน ที่ร่างกายเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ช่วยปกป้องจอประสาทตาจากความเสียหาย
    • มะม่วง: มีวิตามินเอสูง ช่วยให้สายตาแข็งแรงและมีสุขภาพดี
    • มะเขือเทศ: อุดมไปด้วยไลโคปีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการเสื่อมของจอประสาทตา
    • ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่: เช่น บลูเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคตาเสื่อม
    • กล้วย: มีโพแทสเซียมสูง ช่วยลดความเสี่ยงของโรคต้อกระจก
    • ส้ม: อุดมไปด้วยวิตามินซี ช่วยป้องกันการอักเสบของดวงตา

    วิธีรับประทานผลไม้เพื่อบำรุงสายตา

    • รับประทานผลไม้ให้หลากหลาย: เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วน
    • รับประทานผลไม้สด: จะได้วิตามินและสารอาหารครบถ้วนที่สุด
    • รับประทานผลไม้เป็นประจำ: ควรทานผลไม้ทุกวัน เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างต่อเนื่อง

    เคล็ดลับเพิ่มเติม:

    • พักสายตาเป็นระยะ: หากต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ควรพักสายตาเป็นระยะๆ ทุกๆ 20 นาที โดยมองไปยังวัตถุที่อยู่ไกลๆ
    • ออกกำลังกาย: การออกกำลังกายช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงดวงตา
    • นอนหลับให้เพียงพอ: การพักผ่อนอย่างเพียงพอช่วยให้ดวงตาได้พักผ่อนและฟื้นฟู
    • ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ: การตรวจสุขภาพตาเป็นประจำจะช่วยให้คุณทราบถึงสุขภาพดวงตาของคุณและสามารถรักษาได้อย่างทันท่วงที

    การดูแลสายตาเป็นสิ่งสำคัญมาก การรับประทานผลไม้บำรุงสายตาควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพตาอย่างถูกวิธี จะช่วยให้คุณมีสายตาที่แข็งแรงและมองเห็นโลกได้อย่างชัดเจนตลอดไป

    อาหารกลิ่นแรงแต่มีประโยชน์

    อาหารกลิ่นแรงแต่มีประโยชน์: เผยเคล็ดลับการทานอาหารสุขภาพที่อร่อยและมีประโยชน์

    อาหารที่มีกลิ่นแรงนั้นมักถูกมองข้ามไป เนื่องจากกลิ่นที่ฉุนและรสชาติที่เข้มข้น แต่รู้หรือไม่ว่าอาหารเหล่านี้กลับอุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมากมาย และยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกด้วย วันนี้เราจะพาคุณไปพบกับอาหารกลิ่นแรงแต่มีประโยชน์เหล่านี้ พร้อมเผยเคล็ดลับการทานให้ได้ประโยชน์สูงสุด

    ทำไมอาหารกลิ่นแรงถึงมีประโยชน์?

    อาหารที่มีกลิ่นแรงมักจะมีสารประกอบทางเคมีที่เรียกว่า ฟีโตนิวเทรียนต์ (phytonutrients) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันเซลล์จากความเสียหาย ชะลอความเสื่อมของเซลล์ และลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคความเสื่อมของสมอง นอกจากนี้ อาหารกลิ่นแรงยังมีใยอาหารสูง ช่วยในการขับถ่าย และมีโปรตีนสูง ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างกล้ามเนื้อและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย

    ตัวอย่างอาหารกลิ่นแรงที่มีประโยชน์

    • กระเทียม: ช่วยลดความดันโลหิต ลดระดับคอเลสเตอรอล และมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
    • หอมแดง: ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
    • หัวหอม: ช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง ช่วยลดการอักเสบ และมีวิตามินซีสูง
    • ขิง: ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียน และมีฤทธิ์แก้อักเสบ
    • กะเพรา: ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
    • ปลา: ปลาบางชนิด เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล มีกลิ่นคาว แต่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง ซึ่งดีต่อหัวใจและสมอง

    เคล็ดลับการทานอาหารกลิ่นแรง

    • ปรุงรส: การปรุงรสด้วยสมุนไพรและเครื่องเทศอื่นๆ จะช่วยลดกลิ่นฉุนและเพิ่มรสชาติให้อาหารน่ารับประทานมากขึ้น
    • ผสมกับอาหารอื่น: การนำอาหารกลิ่นแรงไปผสมกับอาหารชนิดอื่น เช่น สลัด ผัด หรือต้ม จะช่วยลดความเข้มข้นของกลิ่น
    • ค่อยๆ ปรับ: หากไม่คุ้นเคยกับกลิ่นแรง ให้เริ่มจากการใช้อาหารกลิ่นแรงในปริมาณน้อยๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ
    • เลือกวัตถุดิบสดใหม่: อาหารสดใหม่จะมีกลิ่นที่ไม่ฉุนมากนัก และมีรสชาติที่อร่อยกว่า

    เมนูอาหารกลิ่นแรงที่น่าลอง

    • ผัดกระเพราหมูสับ: เมนูโปรดของคนไทย ที่อุดมไปด้วยโปรตีนจากเนื้อหมู และสารต้านอนุมูลอิสระจากใบกะเพรา
    • ต้มยำกุ้ง: ซุปที่มีรสชาติจัดจ้าน ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร
    • แกงเขียวหวานไก่: แกงที่มีรสชาติเข้มข้น อุดมไปด้วยสมุนไพรไทย
    • ส้มตำ: ส้มตำไทยรสแซ่บ มีใยอาหารสูง ช่วยในการขับถ่าย

    สรุป

    อาหารกลิ่นแรงไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด หากรู้จักวิธีการปรุงและเลือกทานให้ถูกวิธี อาหารเหล่านี้จะกลายเป็นอาหารสุขภาพที่อร่อยและมีประโยชน์ต่อร่างกายของคุณ ลองนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปปรับใช้กับเมนูอาหารของคุณดูนะคะ

    น้ำตาเทียม

    น้ำตาเทียม ดีไหม? ไขข้อสงสัยเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์บำรุงดวงตาที่คุณควรรู้

    ปัญหาตาแห้ง เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ใช้สายตามากเกินไป เช่น ผู้ที่ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ หรือผู้สูงอายุ อาการตาแห้งนอกจากจะทำให้รู้สึกไม่สบายตา ยังอาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นในระยะยาวได้อีกด้วย

    น้ำตาเทียม จึงกลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ประสบปัญหาตาแห้ง เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตา ช่วยบรรเทาอาการระคายเคือง แสบตา และคันตาได้เป็นอย่างดี แต่หลายคนก็ยังคงสงสัยว่า น้ำตาเทียมดีจริงหรือ? มีประโยชน์อย่างไร? และควรเลือกใช้น้ำตาเทียมแบบไหนดี?

    น้ำตาเทียม คืออะไร?

    น้ำตาเทียมเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อเลียนแบบน้ำตาธรรมชาติ มีส่วนประกอบหลักคือน้ำและสารหล่อลื่น เช่น โพลีเอทิลีนไกลคอล (Polyethylene Glycol) หรือไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) ซึ่งช่วยเคลือบผิวตาและรักษาความชุ่มชื้น

    ประโยชน์ของน้ำตาเทียม

    • ช่วยบรรเทาอาการตาแห้ง: เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตา ช่วยลดอาการระคายเคือง แสบตา คันตา และทำให้รู้สึกสบายตาขึ้น
    • ป้องกันการระคายเคือง: สร้างชั้นป้องกันบนผิวตา ช่วยลดการเสียดสีระหว่างเปลือกตาและดวงตา
    • ช่วยให้การใส่คอนแทคเลนส์สบายขึ้น: ลดอาการระคายเคืองที่เกิดจากการใส่คอนแทคเลนส์
    • ช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้กับดวงตาหลังการผ่าตัด: เช่น หลังการผ่าตัดต้อกระจก

    น้ำตาเทียม เหมาะสำหรับใคร?

    • ผู้ที่มีอาการตาแห้งเรื้อรัง
    • ผู้ที่ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
    • ผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์
    • ผู้สูงอายุ
    • ผู้ที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แห้งและมีลมแรง
    • ผู้ที่เพิ่งผ่านการผ่าตัดตา

    วิธีเลือกน้ำตาเทียม

    น้ำตาเทียมมีหลายชนิดและหลายยี่ห้อให้เลือก โดยมีส่วนประกอบและความเข้มข้นของสารหล่อลื่นที่แตกต่างกัน การเลือกน้ำตาเทียมที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสภาพของดวงตาและความต้องการของแต่ละบุคคล ควรปรึกษาเภสัชกรหรือจักษุแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ

    ปัจจัยที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกน้ำตาเทียม:

    • ความเข้มข้นของสารหล่อลื่น: เลือกความเข้มข้นที่เหมาะสมกับระดับความแห้งของดวงตา
    • ชนิดของสารกันเสีย: บางคนอาจแพ้สารกันเสียในน้ำตาเทียม ควรเลือกชนิดที่ไม่มีสารกันเสียหรือมีสารกันเสียชนิดที่ไม่ระคายเคือง
    • ความถี่ในการใช้: เลือกชนิดที่เหมาะกับการใช้ในชีวิตประจำวันหรือสำหรับใช้ในกรณีฉุกเฉิน
    • ราคา: น้ำตาเทียมมีราคาแตกต่างกันไป ควรเลือกชนิดที่เหมาะสมกับงบประมาณ

    ข้อควรระวังในการใช้น้ำตาเทียม

    • อ่านฉลากอย่างละเอียด: ก่อนใช้ควรอ่านฉลากเพื่อดูส่วนประกอบและวิธีใช้ให้ถูกต้อง
    • หลีกเลี่ยงการสัมผัสปลายขวดกับดวงตา: เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรค
    • หยุดใช้และปรึกษาแพทย์: หากมีอาการแพ้หรืออาการไม่พึงประสงค์อื่นๆ เกิดขึ้น

    สรุป

    น้ำตาเทียมเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยบรรเทาอาการตาแห้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสภาพของดวงตาและปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม ควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้อง

    อาหารแก้กรดไหลย้อน

    อาหารแก้กรดไหลย้อน: บรรเทาอาการแสบร้อนด้วยอาหารเหล่านี้

    กรดไหลย้อน เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน สาเหตุหลักมาจากการที่กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหาร ทำให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอก เรอบ่อยๆ และมีรสเปรี้ยวในปาก การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาที่สำคัญ ซึ่งรวมถึงการเลือกทานอาหารที่เหมาะสม

    อาหารแก้กรดไหลย้อน

    • ผักใบเขียว: ผักใบเขียว เช่น ผักคะน้า ผักโขม และกะหล่ำปลี มีใยอาหารสูง ช่วยในการย่อยอาหารและลดอาการท้องอืด ซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดกรดไหลย้อน
    • ผลไม้: เลือกทานผลไม้ที่มีความเป็นกรดต่ำ เช่น กล้วย แอปเปิล (ปอกเปลือก) แตงโม และมะละกอสุก
    • ธัญพืช: ธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต และข้าวบาร์เลย์ มีใยอาหารสูง ช่วยในการย่อยอาหารและลดอาการท้องอืด
    • โปรตีน: เลือกทานโปรตีนที่ย่อยง่าย เช่น ไก่ไม่ติดหนัง ปลา เนื้อวัวไม่ติดมัน และไข่ขาว
    • นม: นมไขมันต่ำหรือนมพร่องมันเนย ช่วยเคลือบหลอดอาหารและลดอาการแสบร้อน
    • น้ำเปล่า: การดื่มน้ำเปล่าในปริมาณที่เพียงพอช่วยในการย่อยอาหารและลดอาการท้องผูก

    อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

    • อาหารรสจัด: อาหารรสจัด เช่น พริก กระเทียม และเครื่องเทศต่างๆ จะกระตุ้นให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
    • อาหารทอดและมันเจียว: อาหารทอดและมันเจียวมีไขมันสูง ย่อยยาก และทำให้เกิดอาการท้องอืด
    • อาหารรสเปรี้ยว: ผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว และสับปะรด จะกระตุ้นให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
    • กาแฟ ชา และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน: คาเฟอีนจะกระตุ้นให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
    • แอลกอฮอล์: แอลกอฮอล์จะระคายเคืองเยื่อบุหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร

    เคล็ดลับเพิ่มเติม

    • ทานอาหารมื้อเล็กๆ หลายมื้อ: การทานอาหารมื้อเล็กๆ หลายมื้อจะช่วยลดภาระในการทำงานของกระเพาะอาหาร
    • เคี้ยวอาหารให้ละเอียด: การเคี้ยวอาหารให้ละเอียดจะช่วยในการย่อยอาหารและลดอาการท้องอืด
    • เลิกสูบบุหรี่: บุหรี่จะทำให้กล้ามเนื้อหูรูดบริเวณหลอดอาหารอ่อนแรงลง ทำให้กรดไหลย้อนได้ง่ายขึ้น
    • หลีกเลี่ยงการนอนราบหลังทานอาหารทันที: ควรเว้นระยะห่างประมาณ 2-3 ชั่วโมง
    • ยกหัวเตียงให้สูงขึ้น: การยกหัวเตียงให้สูงขึ้นประมาณ 15-20 เซนติเมตร จะช่วยลดแรงดันในกระเพาะอาหาร

    ข้อควรระวัง: หากอาการกรดไหลย้อนไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม

    บทสรุป

    การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินเป็นสิ่งสำคัญในการบรรเทาอาการกรดไหลย้อน การเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ อาหารแก้กรดไหลย้อน ที่เราแนะนำไปข้างต้น และหลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นให้เกิดอาการ รวมถึงการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต จะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดีขึ้น

    สูตรไข่ดองน้ำปลา

    สูตรไข่ดองน้ำปลา ทำง่าย อร่อยถึงใจ!

    ไข่ดองน้ำปลา เมนูทานเล่นสุดคลาสสิก ที่ใครๆ ก็ทำได้ แถมยังอร่อยถูกปากอีกด้วยค่ะ วิธีทำก็ง่ายนิดเดียว แค่มีส่วนผสมไม่กี่อย่างก็สามารถทำได้ที่บ้านแล้ว มาดูสูตรและขั้นตอนการทำกันเลยค่ะ

    ส่วนผสมทำไข่ดองน้ำปลา

    • ไข่ไก่สด
    • น้ำปลา
    • น้ำตาลปี๊บ
    • น้ำเปล่า
    • กระเทียม (สำหรับโรยหน้า)
    • พริกขี้หนู (สำหรับโรยหน้า)
    • หอมแดง (สำหรับโรยหน้า)
    • น้ำมะนาว (สำหรับโรยหน้า)

    อุปกรณ์

    • หม้อ
    • ช้อน
    • ขวดโหลแก้ว

    วิธีทำไข่ดองน้ำปลา

    1. เตรียมน้ำดอง: ตวงน้ำปลา น้ำตาลปี๊บ และน้ำเปล่าใส่หม้อ คนให้เข้ากัน ตั้งไฟกลาง เคี่ยวจนน้ำตาลละลายและส่วนผสมเดือด จากนั้นปิดไฟ พักให้เย็นสนิท
    2. เตรียมไข่: ล้างไข่ไก่ให้สะอาด ตอกไข่ใส่ภาชนะที่เตรียมไว้ แยกไข่แดงออกจากไข่ขาว ทิ้งไข่ขาวไป (หรือจะนำไปทำเมนูอื่นๆ ต่อก็ได้)
    3. ดองไข่: นำไข่แดงที่แยกไว้ใส่ลงในน้ำดองที่เย็นแล้ว ปิดฝาขวดโหลให้สนิท นำไปแช่ตู้เย็นประมาณ 1 คืน หรือจนกว่าไข่แดงจะมีความหนึบตามต้องการ
    4. จัดเสิร์ฟ: นำไข่ดองออกจากตู้เย็น ตักใส่จาน โรยหน้าด้วยกระเทียม พริกขี้หนู หอมแดงซอย และบีบน้ำมะนาวเล็กน้อย ก่อนเสิร์ฟ

    เคล็ดลับสูตรไข่ดองน้ำปลาเด็ด

    • เลือกไข่ไก่สด: เพื่อให้ได้ไข่ดองที่มีคุณภาพดี
    • น้ำดอง: ปรับปริมาณน้ำปลา น้ำตาล และน้ำเปล่าได้ตามชอบ เพื่อให้ได้รสชาติที่ถูกปาก
    • ระยะเวลาการดอง: ปรับระยะเวลาการดองได้ตามความชอบ หากต้องการไข่แดงที่หนึบมากขึ้น สามารถดองทิ้งไว้ได้นานขึ้น
    • น้ำจิ้ม: นอกจากจะรับประทานไข่ดองเปล่าๆ แล้ว สามารถทานคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ด หรือน้ำจิ้มพริกก็อร่อย

    ไข่ดองน้ำปลา เป็นเมนูที่ทำง่าย ใช้เวลาไม่นาน แต่ได้รสชาติที่อร่อย กลมกล่อม เหมาะสำหรับทานเป็นอาหารว่าง หรือทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ ก็อร่อยไม่แพ้กัน ลองทำตามสูตรนี้ดูนะคะ รับรองว่าติดใจแน่นอน

    คำแนะนำเพิ่มเติม:

    • ความปลอดภัย: ควรเลือกภาชนะที่สะอาดในการทำไข่ดอง และควรเก็บไข่ดองในตู้เย็นเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา
    • วัตถุดิบอื่นๆ: สามารถเพิ่มวัตถุดิบอื่นๆ ลงไปในน้ำดองได้ เช่น ใบเตย หรือสมุนไพรชนิดอื่นๆ เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมและรสชาติที่หลากหลาย
    • การปรับรสชาติ: หากต้องการรสชาติที่เผ็ดมากขึ้น สามารถเพิ่มปริมาณพริกขี้หนูได้ หรือหากต้องการรสชาติที่หวานน้อยลง สามารถลดปริมาณน้ำตาลได้

    ขอให้สนุกกับการทำอาหารนะคะ!


    เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

    ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

    คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

    ยอมรับทั้งหมด
    จัดการความเป็นส่วนตัว
    • เปิดใช้งานตลอด

    บันทึกการตั้งค่า