ข่าวสารวันนี้

ส่องข่าวสาร แวดวงการเมือง อัปเดตรายวัน

    Category Archive : ผู้หญิง

    อาหารที่ทําให้ท้องผูก

    อาหารที่ทำให้ท้องผูก: หลีกเลี่ยงเพื่อระบบขับถ่ายที่ดี

    อาการท้องผูกเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน ซึ่งส่งผลต่อความรู้สึกไม่สบายตัวและสุขภาพโดยรวม อาหารที่เราบริโภคมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการทำงานของระบบขับถ่าย การรู้จักอาหารที่ทำให้ท้องผูกจึงเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพที่ดี

    อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อป้องกันอาการท้องผูก

    1. อาหารแปรรูปและอาหารจานด่วน:
      • อาหารเหล่านี้มักมีปริมาณไฟเบอร์ต่ำและไขมันสูง ซึ่งทำให้การเคลื่อนไหวของลำไส้ช้าลง
      • ตัวอย่าง: อาหารแช่แข็ง, ขนมขบเคี้ยว, อาหารฟาสต์ฟู้ด
    2. ผลิตภัณฑ์จากนม:
      • ในบางคน, แลคโตสในนมอาจทำให้เกิดอาการท้องอืดและท้องผูก
      • ตัวอย่าง: นมวัว, ชีส, ไอศกรีม
    3. เนื้อแดง:
      • เนื้อแดงมีไขมันสูงและย่อยยาก ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้
      • ควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะและเลือกเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน
    4. อาหารที่มีน้ำตาลสูง:
      • น้ำตาลอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแบคทีเรียในลำไส้ ซึ่งส่งผลต่อการขับถ่าย
      • ตัวอย่าง: ขนมหวาน, เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง
    5. อาหารที่มีเกลือสูง:
      • เกลือมากเกินไปอาจทำให้ร่างกายขาดน้ำ ซึ่งส่งผลให้อุจจาระแข็งและขับถ่ายยาก
      • ตัวอย่าง: อาหารแปรรูป, อาหารสำเร็จรูป
    6. อาหารที่มีไฟเบอร์ต่ำ:
      • ไฟเบอร์ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ การขาดไฟเบอร์ทำให้การขับถ่ายไม่ปกติ
      • ตัวอย่าง: ข้าวขาว, ขนมปังขาว
    7. อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง:
      • ธาตุเหล็กในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการท้องผูก
      • ตัวอย่าง: อาหารเสริมธาตุเหล็ก, ตับ, เครื่องในสัตว์

    คำแนะนำเพิ่มเติม

    • ดื่มน้ำให้เพียงพอ: การดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวันช่วยให้อุจจาระนิ่มและขับถ่ายง่ายขึ้น
    • เพิ่มการบริโภคไฟเบอร์: รับประทานผัก, ผลไม้, และธัญพืชไม่ขัดสีเพื่อเพิ่มปริมาณไฟเบอร์ในอาหาร
    • ออกกำลังกายเป็นประจำ: การเคลื่อนไหวร่างกายช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้
    • ปรึกษาแพทย์: หากมีอาการท้องผูกเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม

    การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคและดำเนินชีวิตสามารถช่วยป้องกันและบรรเทาอาการท้องผูกได้ การดูแลสุขภาพระบบขับถ่ายเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพโดยรวม

    ภาชนะเข้าหม้อทอด

    ภาชนะที่เข้าหม้อทอด: เลือกใช้อย่างไรให้ปลอดภัยและเหมาะสม

    หม้อทอดไร้น้ำมันเป็นเครื่องครัวที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ด้วยความสะดวกสบายและสามารถทำอาหารได้หลากหลายเมนู แต่การเลือกใช้ภาชนะเข้าหม้อทอดก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการทำอาหารที่ดี

    ภาชนะเข้าหม้อทอดได้

    • โลหะ:
      • โดยเฉพาะสเตนเลสสตีล เป็นตัวเลือกยอดนิยม เนื่องจากทนความร้อนได้ดี นำความร้อนได้สม่ำเสมอ และทำความสะอาดง่าย
      • ภาชนะโลหะอื่นๆ ก็สามารถใช้ได้ แต่ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีสารเคลือบที่อาจหลุดลอกเมื่อโดนความร้อนสูง
    • แก้ว:
      • ควรใช้ภาชนะแก้วที่ทำจากแก้วทนความร้อน (เช่น แก้วบอโรซิลิเกต) หรือแก้วเซรามิก ซึ่งสามารถทนความร้อนสูงได้
      • หลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะแก้วธรรมดา เพราะอาจแตกเมื่อโดนความร้อนจัด
    • กระดาษรองอบ:
      • ใช้กระดาษรองอบที่ออกแบบมาสำหรับใช้กับหม้อทอดไร้น้ำมันโดยเฉพาะ
      • ควรเลือกกระดาษรองอบที่มีรูพรุน เพื่อให้ลมร้อนไหลเวียนได้อย่างทั่วถึง
    • ฟอยล์:
      • ฟอยล์สามารถใช้กับหม้อทอดได้ แต่หากนำมาใช้กับอาหารแนะนำให้ใช้ที่ 170องศาจะปลอดภัยที่สุด
      • ควรระวังอย่าให้ฟอยล์สัมผัสกับขดลวดความร้อนโดยตรง
    • ซิลิโคน:
      • ภาชนะซิลิโคนสำหรับทำอาหารที่ทนความร้อนสูง สามารถใช้กับหม้อทอดได้
      • ควรเลือกซิลิโคนคุณภาพดีที่ไม่มีสารเคมีอันตราย

    ภาชนะที่ไม่ควรใช้กับหม้อทอด

    • พลาสติก:
      • ภาชนะพลาสติกส่วนใหญ่ไม่ทนความร้อนสูง และอาจละลายหรือปล่อยสารเคมีอันตรายเมื่อโดนความร้อน
    • โฟม:
      • ภาชนะโฟมไม่ควรนำเข้าหม้อทอดโดยเด็ดขาด เพราะจะละลายและเกิดควันพิษ
    • ภาชนะที่มีลวดลาย:
      • ภาชนะเซรามิกที่มีลวดลาย ความร้อนอาจจะแทรกเข้าไปในส่วนของลาย ซึ่งอาจจะทำให้ถ้วยเซรามิกของเราแตกในระหว่างการอบได้ ดังนั้นควรเลือกแบบที่ไม่มีลวดลายจะเซฟในการใช้งานมากกว่า

    ข้อควรระวังในการใช้ภาชนะกับหม้อทอด

    • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าภาชนะที่คุณใช้สามารถทนความร้อนสูงได้
    • หลีกเลี่ยงการวางภาชนะชิดขดลวดความร้อนมากเกินไป
    • อย่าใช้ภาชนะที่แตก ร้าว หรือชำรุด
    • อ่านคู่มือการใช้งานหม้อทอดของคุณ เพื่อดูคำแนะนำเกี่ยวกับภาชนะที่เหมาะสม

    การเลือกใช้ภาชนะที่เหมาะสมกับหม้อทอดไร้น้ำมัน จะช่วยให้คุณทำอาหารได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

    วิธีปิดผมหงอก

    วิธีปิดผมหงอก: คืนความมั่นใจให้ผมสวยสุขภาพดี

    ผมหงอกเป็นสัญญาณแห่งวัยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องยอมรับมันเสมอไป ปัจจุบันมีหลากหลายวิธีในการปิดผมหงอก ตั้งแต่การใช้ผลิตภัณฑ์เคมีไปจนถึงวิธีธรรมชาติ ลองมาดูกันว่าวิธีปิดผมหงอกไหนเหมาะกับคุณ

    วิธีปิดผมหงอก เลือกให้เหมาะกับคุณ

    1. การย้อมผม

    • ยาย้อมผมแบบถาวร:
      • เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ให้สีผมที่ติดทนนาน ปกปิดผมหงอกได้สนิท
      • เหมาะสำหรับผู้ที่มีผมหงอกจำนวนมาก
      • ข้อควรระวัง: อาจทำให้ผมแห้งเสียได้หากใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีคุณภาพ
    • ยาย้อมผมแบบกึ่งถาวร:
      • ให้สีผมที่ติดทนนานน้อยกว่าแบบถาวร แต่ยังคงปกปิดผมหงอกได้ดี
      • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนสีผมบ่อยๆ หรือมีผมหงอกไม่มาก
      • ข้อดี: อ่อนโยนต่อเส้นผมมากกว่าแบบถาวร
    • ยาย้อมผมแบบชั่วคราว:
      • ให้สีผมที่ติดทนเพียง 1-2 ครั้งของการสระผม
      • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทดลองสีผมใหม่ๆ หรือปกปิดผมหงอกเฉพาะโอกาสพิเศษ
      • ข้อดี: ใช้ง่ายและไม่ทำลายเส้นผม

    2. ผลิตภัณฑ์ปิดผมหงอกเฉพาะจุด

    • มาสคาร่าปิดผมหงอก:
      • ใช้ปัดปกปิดผมหงอกเฉพาะบริเวณโคนผมหรือไรผม
      • เหมาะสำหรับผู้ที่มีผมหงอกไม่มาก หรือต้องการปกปิดเฉพาะจุด
      • ข้อดี: ใช้งานง่ายและรวดเร็ว
    • สเปรย์ปิดผมหงอก:
      • ใช้ฉีดปกปิดผมหงอกเฉพาะบริเวณโคนผมหรือไรผม
      • เหมาะสำหรับผู้ที่มีผมหงอกไม่มาก หรือต้องการปกปิดเฉพาะจุด
      • ข้อดี: ใช้งานง่ายและรวดเร็ว

    3. วิธีธรรมชาติ

    • เฮนน่า:
      • เป็นสีย้อมผมจากธรรมชาติที่ให้สีผมโทนน้ำตาลแดง
      • ช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรงและเงางาม
      • ข้อควรระวัง: สีอาจไม่ติดทนนานเท่าสีย้อมผมเคมี
    • น้ำมันมะพร้าว:
      • ช่วยบำรุงเส้นผมและหนังศีรษะให้แข็งแรง ลดการเกิดผมหงอกก่อนวัย
      • วิธีใช้: นวดน้ำมันมะพร้าวลงบนหนังศีรษะและเส้นผมเป็นประจำ
    • ชาดำ:
      • ชาดำสามารถนำมาใช้ปิดผมหงอกได้โดยการนำชาดำเข้มข้นมาหมักผมทิ้งไว้สักพักแล้วล้างออก

    คำแนะนำเพิ่มเติม

    • เลือกผลิตภัณฑ์ปิดผมหงอกที่เหมาะกับสภาพเส้นผมและหนังศีรษะของคุณ
    • ทดสอบอาการแพ้ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
    • ดูแลเส้นผมให้แข็งแรงด้วยการบำรุงและหลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนสูง
    • หากมีปัญหาผมหงอกก่อนวัย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม

    การปิดผมหงอกเป็นเรื่องส่วนบุคคล เลือกวิธีที่เหมาะกับคุณและทำให้คุณมั่นใจที่สุด

    เครื่องดื่มบูสผิว

    เครื่องดื่มบูสผิว: เคล็ดลับผิวสวยจากภายในสู่ภายนอก

    ในยุคที่ความสวยงามเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสำคัญ การดูแลผิวพรรณจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม นอกจากการบำรุงผิวด้วยผลิตภัณฑ์ภายนอกแล้ว การเติมเต็มสารอาหารจากภายในด้วยเครื่องดื่มบูสผิวก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ

    เครื่องดื่มบูสผิวคืออะไร?

    เครื่องดื่มบูสผิวคือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของสารอาหารที่ช่วยบำรุงผิวพรรณจากภายในสู่ภายนอก เช่น วิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ และคอลลาเจน ซึ่งสารอาหารเหล่านี้จะช่วยฟื้นฟูและบำรุงผิวให้แข็งแรง ชุ่มชื้น และเปล่งปลั่ง

    เครื่องดื่มบูสผิวมีประโยชน์อย่างไร?

    • เพิ่มความชุ่มชื้น: ช่วยให้ผิวอิ่มน้ำ ลดปัญหาผิวแห้งกร้าน
    • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน: ช่วยให้ผิวยืดหยุ่น ลดเลือนริ้วรอย
    • ต้านอนุมูลอิสระ: ปกป้องผิวจากมลภาวะและแสงแดด ลดปัญหาผิวหมองคล้ำ
    • ลดการอักเสบ: ช่วยลดปัญหาสิวและรอยแดง
    • เสริมสร้างความแข็งแรงของผิว: ช่วยให้ผิวแข็งแรง ไม่แพ้ง่าย

    เครื่องดื่มบูสผิวที่น่าสนใจ

    • น้ำผลไม้สด: น้ำผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซี เช่น น้ำส้ม น้ำฝรั่ง น้ำมะนาว ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและต้านอนุมูลอิสระ
    • น้ำผักใบเขียว: น้ำผักใบเขียวที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ ช่วยบำรุงผิวให้แข็งแรงและลดการอักเสบ
    • ชาเขียว: ชาเขียวมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะและแสงแดด
    • น้ำมะพร้าว: น้ำมะพร้าวช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวและมีแร่ธาตุที่ช่วยบำรุงผิว
    • เครื่องดื่มที่มีคอลลาเจน: เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน ช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นให้ผิว ลดเลือนริ้วรอย

    เคล็ดลับเพิ่มเติม

    • ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ: การดื่มน้ำเปล่าเป็นพื้นฐานของการดูแลผิวที่ดี
    • ทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นผักผลไม้ ธัญพืช และโปรตีน
    • พักผ่อนให้เพียงพอ: การนอนหลับอย่างเพียงพอช่วยให้ผิวได้พักผ่อนและฟื้นฟู
    • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ทำให้ผิวเปล่งปลั่ง

    ข้อควรระวัง

    • เลือกเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลน้อย: การดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพและผิวพรรณ
    • ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ: หากมีโรคประจำตัวหรือข้อสงสัย ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนดื่มเครื่องดื่มบูสผิว

    การดูแลผิวพรรณเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ การดื่มเครื่องดื่มบูสผิวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการดูแลตัวเอง ควรดูแลตัวเองในด้านอื่นๆ ด้วย เพื่อให้มีผิวสวยสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก

    อาหารลดสิว: เคล็ดลับผิวสวยจากภายใน สู่ภายนอก


    อาหารลดสิว
    : เคล็ดลับผิวใสจากภายในสู่ภายนอก

    คุณรู้หรือไม่ว่าอาหารที่คุณทานมีผลต่อปัญหาสิว? อาหารที่ไม่มีประโยชน์สามารถส่งผลเสียต่อผิวของคุณได้โดยตรง หากคุณต้องการผิวสวยใส ไร้สิว ลองเพิ่ม 5 อาหารเหล่านี้ในตู้เย็นของคุณ:

    5 อาหารลดสิว: ตัวช่วยผิวสวยสุขภาพดี

    1. ไข่: อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ช่วยรักษาสมดุลความชุ่มชื้นของผิว ลดการอักเสบ และเสริมสร้างสุขภาพผิวให้แข็งแรง
    2. อะโวคาโด: แหล่งรวมวิตามินเอ ซิงค์ และวิตามินบี 6 ช่วยปรับสมดุลผิว เพิ่มความชุ่มชื้น และลดสิวฮอร์โมน
    3. กระเทียม: มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดสิวจากการติดเชื้อ และช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น
    4. ทับทิม: มีวิตามินเอ อี ซี และซิงค์ ช่วยลดสิว ผิวขาวกระจ่างใส และเร่งการสมานแผล
    5. อัลมอนด์: มีสารต้านอนุมูลอิสระ โอเมก้า 3 วิตามินอี โปรตีน และแมกนีเซียม ช่วยลดสิวฮอร์โมนและบำรุงผิว

    เคล็ดลับเพิ่มเติม:

    • ดื่มน้ำให้เพียงพอ
    • รับประทานอาหารให้หลากหลาย
    • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง นม และอาหารแปรรูป

    อาหารเหล่านี้จะช่วยลดการอักเสบของสิว บำรุงผิวให้กระจ่างใส และเสริมสร้างสุขภาพโดยรวมของคุณ

    การปรับปรุงที่สำคัญ:

    • ภาษา: ใช้ภาษาที่กระชับและเข้าใจง่ายขึ้น
    • ข้อมูล: เพิ่มเติมข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เล็กน้อยเพื่อให้ข้อมูลมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
    • โครงสร้าง: จัดเรียงข้อมูลให้เป็นระเบียบ อ่านง่าย และเน้นประเด็นสำคัญ
    • คำแนะนำเพิ่มเติม: เพิ่มเคล็ดลับเพิ่มเติมเพื่อให้ผู้อ่านนำไปปฏิบัติได้จริง
    ต้อกระจกในคนอายุน้อย เกิดจากอะไร? พร้อมวิธีป้องกันก่อนสายเกินไป

    ต้อกระจกในคนอายุน้อย เกิดจากอะไร? พร้อมวิธีป้องกันก่อนสายเกินไป


    ต้อกระจก
    : โรคตาที่เกิดได้กับทุกวัย พร้อมแนวทางป้องกัน

    ในบรรดาโรคต้อที่พบในดวงตา “โรคต้อกระจก” ถือเป็นโรคที่พบบ่อยที่สุด และไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในผู้สูงอายุเท่านั้น คนอายุน้อยก็มีความเสี่ยงจากปัจจัยใกล้ตัวที่อาจมองข้าม เช่น รังสี UV การสูบบุหรี่ และการใช้ยาบางชนิด ต้อกระจกส่งผลให้เลนส์ตาขุ่นมัว กระทบต่อการมองเห็น และหากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นได้

    โรคต้อกระจกคืออะไร?

    ต้อกระจก (Cataracts) เป็นโรคต้อตาชนิดหนึ่งที่เกิดจากความเสื่อมของเลนส์ตา ทำให้เลนส์ที่เคยใสเกิดความขุ่นมัว แสงผ่านได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้มองเห็นไม่ชัดหรือพร่ามัว

    รังสี UV ตัวกระตุ้นที่เร่งให้เกิดต้อกระจก

    แม้ต้อกระจกมักเกิดจากอายุที่มากขึ้น แต่คนอายุน้อยก็สามารถเป็นได้จากปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่น การสูบบุหรี่ การใช้ยาสเตียรอยด์ การผ่าตัดตา โรคประจำตัวที่กระทบสุขภาพดวงตา หรืออุบัติเหตุทางตา

    พญ.จิรนันท์ ทรัพย์ทวีผลบุญ จักษุแพทย์ โรงพยาบาลวิมุต อธิบายว่า “รังสี UV โดยเฉพาะรังสี UVA มีผลโดยตรงต่อการเสื่อมของเลนส์ตา เนื่องจากกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระ ทำให้โปรตีนในเลนส์เสื่อมสภาพและจับตัวเป็นก้อน ก่อให้เกิดความขุ่นมัวในดวงตา ดังนั้น การสวมแว่นกันแดดที่มีการฉาบสารป้องกัน UV จึงเป็นวิธีป้องกันที่ดี”

    อาการเตือนของต้อกระจก

    อาการของต้อกระจกมักเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้สังเกตได้ยาก โดยอาการที่พบบ่อย ได้แก่:

    • ตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด
    • ค่าสายตาเปลี่ยนแปลงผิดปกติ
    • มองเห็นแสงไฟกระจาย หรือเห็นแสงจ้ากว่าปกติ
    • มองเห็นสีเพี้ยนไปจากเดิม

    หากมีอาการเหล่านี้ ควรพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจเช็กสุขภาพตา

    แนวทางการรักษา

    แพทย์สามารถวินิจฉัยต้อกระจกได้ทันทีโดยไม่ต้องส่งตรวจเพิ่มเติม ปัจจุบันมีการนำ AI มาใช้ช่วยวิเคราะห์ภาพถ่ายดวงตา คำนวณค่าเลนส์เทียม และช่วยแจ้งเตือนจุดเสี่ยงระหว่างการผ่าตัด

    สำหรับแนวทางรักษา:

    • ยาหยอดตาต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอการเกิดต้อกระจก แต่ไม่สามารถรักษาให้หายขาด
    • การผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตา เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยสามารถเลือกเลนส์เทียมที่เหมาะสมกับการมองเห็นของผู้ป่วยได้
    • การใช้เลเซอร์ช่วยผ่าตัด เหมาะสำหรับผู้ที่มีถุงหุ้มเลนส์อ่อนแอหรือเลนส์แข็งมาก

    การดูแลหลังผ่าตัด

    การผ่าตัดต้อกระจกมีอัตราความสำเร็จสูงถึง 97-99% ผู้ป่วยต้องดูแลตนเองหลังผ่าตัด เช่น หลีกเลี่ยงไม่ให้น้ำเข้าตา งดล้างหน้า และหลีกเลี่ยงการกระแทกตาในช่วง 1 เดือนแรกเพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อ

    ป้องกันต้อกระจกก่อนสายเกินไป

    • ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ
    • สวมแว่นกันแดดที่ป้องกันรังสี UV
    • หลีกเลี่ยงการใช้ยาหยอดตาที่มีสเตียรอยด์โดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์
    • หมั่นสังเกตการมองเห็นของตัวเอง หากพบความผิดปกติ ควรพบแพทย์ทันที

    “ดวงตาของเรามีคู่เดียว การดูแลสุขภาพตาตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้มองเห็นได้อย่างชัดเจนไปนาน ๆ” พญ.จิรนันท์ ทรัพย์ทวีผลบุญ กล่าวทิ้งท้าย

    สอบถามรายละเอียดและนัดหมายแพทย์ได้ที่ ศูนย์จักษุ ชั้น 5 โรงพยาบาลวิมุต

    ผ้าเปียกฝน ต้องซักใหม่ไหม

    ผ้าเปียกฝน ต้องซักใหม่ไหม? ไขข้อสงสัย พร้อมวิธีดูแลผ้าช่วงหน้าฝน

    ช่วงหน้าฝน หลายคนคงเคยเจอปัญหาผ้าที่ตากไว้เปียกฝน หรือเสื้อผ้าที่ใส่เปียกฝนจนชุ่ม แล้วต้องทำอย่างไรกับผ้าเหล่านั้น? ผ้าเปียกฝน ต้องซักใหม่ไหม? วันนี้เรามีคำตอบและเคล็ดลับดีๆ ในการดูแลผ้าช่วงหน้าฝนมาฝากกันค่ะ

    ผ้าเปียกฝน ต้องซักใหม่ไหม?

    คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ค่ะ

    • ถ้าฝนตกปรอยๆ หรือผ้าเปียกเล็กน้อย:
      • หากผ้าเปียกฝนเพียงเล็กน้อย และไม่มีคราบสกปรกติดอยู่ สามารถนำไปผึ่งลมให้แห้งได้เลย
      • แต่ถ้าผ้ามีกลิ่นอับชื้น ควรซักเพื่อกำจัดกลิ่นและป้องกันเชื้อรา
    • ถ้าฝนตกหนัก หรือผ้าเปียกชุ่ม:
      • ควรซักผ้าทันที เพราะน้ำฝนอาจมีสิ่งสกปรกและเชื้อโรคปะปนอยู่
      • การปล่อยผ้าเปียกชื้นทิ้งไว้ จะทำให้เกิดกลิ่นอับชื้น เชื้อรา และคราบสกปรกฝังแน่นได้

    ทำไมผ้าเปียกฝนถึงต้องดูแลเป็นพิเศษ?

    • เชื้อราและแบคทีเรีย: ความชื้นจากฝนเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของเชื้อราและแบคทีเรีย ทำให้ผ้ามีกลิ่นอับและอาจก่อให้เกิดโรคผิวหนัง
    • คราบสกปรก: น้ำฝนอาจมีสิ่งสกปรก เช่น ฝุ่นละออง คราบดิน หรือสารเคมีปนเปื้อน ทำให้ผ้าสกปรกและมีคราบฝังแน่น
    • กลิ่นอับชื้น: ผ้าที่เปียกชื้นและไม่แห้งสนิท จะมีกลิ่นอับชื้นที่ไม่พึงประสงค์

    เคล็ดลับดูแลผ้าช่วงหน้าฝน

    • ซักผ้าทันที: หากเสื้อผ้าเปียกฝน ควรซักทันทีเพื่อป้องกันคราบสกปรกฝังแน่นและกลิ่นอับชื้น
    • ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ: ในการซักผ้า ควรเติมน้ำยาฆ่าเชื้อเพื่อกำจัดเชื้อราและแบคทีเรีย
    • ตากผ้าในที่อากาศถ่ายเท: หากไม่สามารถตากแดดได้ ควรตากผ้าในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก เพื่อให้ผ้าแห้งเร็ว
    • ใช้เครื่องอบผ้า: หากมีเครื่องอบผ้า จะช่วยให้ผ้าแห้งเร็วและป้องกันกลิ่นอับชื้นได้
    • รีดผ้า: การรีดผ้าด้วยความร้อน จะช่วยฆ่าเชื้อโรคและทำให้ผ้าเรียบสวย

    วิธีขจัดกลิ่นอับชื้นบนผ้า

    • แช่ผ้าด้วยน้ำส้มสายชู: ผสมน้ำส้มสายชู 2-3 ถ้วยตวงกับน้ำ 1-2 ลิตร แช่ผ้าทิ้งไว้อย่างน้อย 1 ชั่วโมง แล้วซักตามปกติ
    • ใช้เบกกิ้งโซดา: เติมเบกกิ้งโซดา 1/2 ถ้วยตวงลงในเครื่องซักผ้าพร้อมกับผงซักฟอก จะช่วยขจัดกลิ่นอับชื้นได้
    • ต้มผ้า: หากผ้ามีกลิ่นอับชื้นมาก สามารถนำไปต้มในน้ำเดือดนาน 15 นาที ถึง 1 ชั่วโมง แล้วซักตามปกติ

    ข้อควรระวัง

    • ควรอ่านป้ายสัญลักษณ์การดูแลรักษาผ้าก่อนทำความสะอาด เพื่อป้องกันผ้าชำรุด
    • หากมีอาการคันหรือระคายเคืองผิวหนังหลังสวมใส่ผ้าที่เปียกฝน ควรรีบไปพบแพทย์
    อาหารมื้อเล็กๆ บ่อยๆ ดีจริงหรือ? เผยความจริงเกี่ยวกับการเผาผลาญและระดับน้ำตาลในเลือด

    อาหารมื้อเล็กๆ บ่อยๆ ดีจริงหรือ? เผยความจริงเกี่ยวกับการเผาผลาญและระดับน้ำตาลในเลือด

    ความถี่ของมื้ออาหาร: ควรกินวันละกี่มื้อจึงจะดีที่สุด?

    มีข้อมูลที่หลากหลายเกี่ยวกับจำนวนมื้ออาหารที่ “เหมาะสมที่สุด” ผู้เชี่ยวชาญบางคนแนะนำให้กินอาหารเช้าเพื่อกระตุ้นการเผาผลาญ และแบ่งอาหารออกเป็น 5-6 มื้อต่อวันเพื่อรักษาการเผาผลาญให้คงที่ อย่างไรก็ตาม งานวิจัยที่ผ่านมายังให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน และยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าการกินอาหารบ่อยขึ้นช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่

    บทความนี้จะพาคุณสำรวจว่าควรกินอาหารกี่มื้อต่อวัน พร้อมวิเคราะห์ผลกระทบด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้อง

    การกินอาหารบ่อยขึ้นช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญหรือไม่?

    อัตราการเผาผลาญคือปริมาณแคลอรี่ที่ร่างกายใช้ไปในแต่ละวัน มีความเชื่อว่าการกินอาหารมื้อเล็กๆ บ่อยครั้งจะช่วยเร่งการเผาผลาญ แต่ในความเป็นจริง นี่เป็นเพียงความเข้าใจผิด

    แม้ว่าการย่อยอาหารจะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญได้เล็กน้อย ซึ่งเรียกว่า Thermic Effect of Food (TEF) หรือ “ผลกระทบทางความร้อนของอาหาร” แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ ปริมาณอาหารรวมที่รับประทานในแต่ละวัน ไม่ใช่จำนวนมื้อ

    ตัวอย่างเช่น

    • หากกิน 3 มื้อต่อวัน มื้อละ 800 แคลอรี่
    • หรือกิน 6 มื้อต่อวัน มื้อละ 400 แคลอรี่

    ปริมาณพลังงานที่ใช้ในการย่อยอาหารก็จะเท่ากัน ไม่ได้มีผลต่อการเผาผลาญแต่อย่างใด งานวิจัยหลายฉบับสรุปว่า ไม่มีหลักฐานว่าการแบ่งมื้ออาหารเพิ่มขึ้นช่วยเร่งการเผาผลาญหรือทำให้เผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น

    การกินอาหารบ่อยขึ้นช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดความหิวได้หรือไม่?

    บางคนเชื่อว่าการกินบ่อยๆ จะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ และลดความอยากอาหาร แต่การศึกษากลับพบว่า การกินอาหารมื้อใหญ่แต่น้อยมื้ออาจดีกว่า

    • คนที่กินมื้อใหญ่น้อยมื้อมีระดับน้ำตาลเฉลี่ยต่ำกว่า แม้จะมีการพุ่งขึ้นของน้ำตาลเป็นช่วงๆ แต่โดยรวมยังต่ำกว่าผู้ที่กินมื้อย่อยบ่อยๆ
    • การกินมื้อใหญ่แต่น้อยมื้อช่วยเพิ่มความอิ่ม ลดความหิวได้ดีกว่าการกินบ่อยๆ

    นอกจากนี้ งานวิจัยยังระบุว่า การกินอาหารเช้าอาจช่วยปรับสมดุลระดับน้ำตาลในเลือดได้ การกินมื้อหนักในช่วงเช้าอาจช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดโดยรวมของวันลดลง

    ควรกินอาหารเช้าหรือไม่?

    “อาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดของวัน” จริงหรือ?

    หลายคนเชื่อว่าอาหารเช้าจำเป็นต่อการกระตุ้นการเผาผลาญและช่วยลดน้ำหนัก งานวิจัยเชิงสังเกตพบว่าผู้ที่งดอาหารเช้ามักมีแนวโน้มเป็นโรคอ้วนมากกว่า แต่ไม่ได้หมายความว่าอาหารเช้าเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยลดน้ำหนัก

    สาเหตุอาจเป็นเพราะคนที่กินอาหารเช้าส่วนใหญ่มักมีพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพโดยรวม เช่น เลือกอาหารที่มีประโยชน์มากกว่า ในขณะที่คนที่งดอาหารเช้าอาจมีแนวโน้มเลือกอาหารที่มีแคลอรี่สูงในมื้อต่อไป

    อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานว่าการกินอาหารเช้าช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ หรือช่วยลดน้ำหนักได้โดยตรง

    สำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือมีปัญหาระดับน้ำตาลในเลือด อาหารเช้าอาจช่วยควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีขึ้น การศึกษาพบว่าการงดอาหารเช้าทำให้ระดับน้ำตาลพุ่งสูงขึ้นหลังจากกินมื้อกลางวันและมื้อเย็น

    การอดอาหารเป็นช่วงๆ ดีต่อสุขภาพหรือไม่?

    Intermittent Fasting (IF) หรือการอดอาหารเป็นช่วงๆ กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น โดยอาจเป็นการงดอาหารบางมื้อ หรืออดอาหารยาวนาน 24 ชั่วโมงเป็นครั้งคราว

    แม้บางคนจะกังวลว่าอาจทำให้ร่างกายเข้าสู่ “โหมดอดอยาก” และสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ แต่งานวิจัยพบว่า การอดอาหารช่วงสั้นอาจช่วยเพิ่มการเผาผลาญในระยะเริ่มต้น ก่อนที่การเผาผลาญจะลดลงเมื่ออดอาหารเป็นเวลานาน

    https://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?gdpr=0&client=ca-pub-7805754432663340&output=html&h=280&adk=3019572609&adf=3980772412&pi=t.aa~a.858031026~i.26~rp.4&w=960&abgtt=9&fwrn=4&fwrnh=100&lmt=1740470379&num_ads=1&rafmt=1&armr=3&sem=mc&pwprc=1424552520&ad_type=text_image&format=960×280&url=https%3A%2F%2Ftaryeeblogger.blogspot.com%2F2025%2F02%2Fblog-post_24.html&host=ca-host-pub-1556223355139109&fwr=0&pra=3&rh=200&rw=960&rpe=1&resp_fmts=3&wgl=1&fa=27&uach=WyJXaW5kb3dzIiwiMTUuMC4wIiwieDg2IiwiIiwiMTMxLjAuNjc3OC4yNjUiLG51bGwsMCxudWxsLCI2NCIsW1siR29vZ2xlIENocm9tZSIsIjEzMS4wLjY3NzguMjY1Il0sWyJDaHJvbWl1bSIsIjEzMS4wLjY3NzguMjY1Il0sWyJOb3RfQSBCcmFuZCIsIjI0LjAuMC4wIl1dLDBd&dt=1740470427731&bpp=2&bdt=4478&idt=2&shv=r20250220&mjsv=m202502200101&ptt=9&saldr=aa&abxe=1&cookie=ID%3Da33fdf45aef7f962%3AT%3D1726473877%3ART%3D1740470426%3AS%3DALNI_MZPjHA5MNTNdmakeIiVR7v32wIFBQ&gpic=UID%3D00000f0b62bed474%3AT%3D1726473877%3ART%3D1740470426%3AS%3DALNI_MYinWxkikitY7B3yqYOQQpXw6Bjnw&eoidce=1&prev_fmts=0x0%2C1519x695%2C960x280&nras=4&correlator=4984707170277&frm=20&pv=1&u_tz=420&u_his=2&u_h=864&u_w=1536&u_ah=816&u_aw=1536&u_cd=24&u_sd=1.25&dmc=8&adx=107&ady=2266&biw=1519&bih=695&scr_x=0&scr_y=0&eid=95344789%2C95353420%2C95347433%2C95348348%2C95350016&oid=2&pvsid=3163947166122666&tmod=1202998381&uas=0&nvt=1&fc=384&brdim=0%2C0%2C0%2C0%2C1536%2C0%2C0%2C0%2C1536%2C695&vis=1&rsz=%7C%7Cs%7C&abl=NS&cms=1&fu=128&bc=31&bz=0&td=1&tdf=2&psd=W251bGwsbnVsbCxudWxsLDNd&nt=1&ifi=4&uci=a!4&btvi=2&fsb=1&dtd=36218

    งานวิจัยในมนุษย์และสัตว์ยังพบว่า การอดอาหารเป็นช่วงๆ มีประโยชน์หลายด้าน เช่น
    ✅ เพิ่มความไวต่ออินซูลิน
    ✅ ลดระดับน้ำตาลและอินซูลินในเลือด
    ✅ กระตุ้นกระบวนการออโตฟาจี (Autophagy) ซึ่งช่วยกำจัดของเสียระดับเซลล์และอาจชะลอความชรา

    สรุป

    ✅ การกินอาหารบ่อยขึ้นไม่ได้ช่วยให้เผาผลาญดีขึ้น และไม่ได้ช่วยให้ลดน้ำหนักได้
    ✅ การกินน้อยมื้ออาจดีกว่า ในแง่ของการควบคุมระดับน้ำตาลและลดความหิว
    ✅ อาหารเช้าอาจมีประโยชน์สำหรับบางคน โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาระดับน้ำตาลในเลือด แต่ไม่จำเป็นสำหรับทุกคน
    ✅ การอดอาหารเป็นช่วงๆ อาจช่วยปรับปรุงสุขภาพได้ แต่ควรทำอย่างเหมาะสม

    สุดท้ายแล้ว คำแนะนำที่ดีที่สุดเกี่ยวกับมื้ออาหารคือ ฟังร่างกายของตัวเอง
    🥗 เมื่อหิว ให้กิน
    🚫 เมื่ออิ่ม ให้หยุด

    เคล็ดลับเพิ่มสมาธิระหว่างวัน 9 วิธีง่าย ๆ ที่ช่วยให้จิตใจสงบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    เคล็ดลับเพิ่มสมาธิระหว่างวัน 9 วิธีง่าย ๆ ที่ช่วยให้จิตใจสงบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น


    บทบาทที่หลากหลาย ทั้งการทำงาน ดูแลครอบครัว และดูแลตัวเอง หากคุณรู้สึกว่าจิตใจว้าวุ่น ขาดสมาธิระหว่างวัน ลองนำ 9 เทคนิคเหล่านี้ไปปรับใช้ เพื่อช่วยให้จิตใจสงบและพัฒนาคุณภาพชีวิตได้ดียิ่งขึ้น

    1. เริ่มต้นวันด้วยการหายใจลึก ๆ

    เมื่อตื่นนอน ลองใช้เวลาสัก 5 นาที หายใจเข้า-ออกลึก ๆ อย่างมีสติ วิธีนี้ช่วยปรับสมดุลของร่างกายและจิตใจ ทำให้เริ่มต้นวันใหม่ด้วยความสงบ และพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์

    2. โฟกัสงานทีละอย่าง

    แม้ว่าการทำหลายอย่างพร้อมกัน (Multitasking) จะดูมีประสิทธิภาพ แต่จริง ๆ แล้วอาจทำให้จิตใจฟุ้งซ่านได้ง่าย ลองจัดลำดับความสำคัญ และตั้งใจทำทีละงานจนเสร็จ จะช่วยให้คุณจดจ่อและทำงานได้มีคุณภาพมากขึ้น

    3. หามุมสงบในที่ทำงาน

    หากรู้สึกเครียดหรือจิตใจไม่สงบ ลองหามุมเงียบ ๆ ในที่ทำงาน นั่งพักหลับตาสัก 2-3 นาที แล้วปล่อยใจให้ว่าง วิธีนี้ช่วยคืนสมดุลให้จิตใจได้อย่างรวดเร็ว ทำให้กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    4. เขียนบันทึกช่วยจัดระเบียบความคิด

    การเขียนบันทึกประจำวันช่วยสะท้อนความคิดและจัดการอารมณ์ได้ดี ลองจดบันทึกสิ่งที่รู้สึก รวมถึงเรื่องดี ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน วิธีนี้ช่วยให้คุณเห็นคุณค่าของสิ่งรอบตัวและลดความฟุ้งซ่านได้

    5. ฟังเสียงธรรมชาติหรือเพลงบำบัด

    เปิดเสียงน้ำไหล เสียงนกร้อง หรือเพลงบำบัดระหว่างทำงานหรือพัก จะช่วยสร้างบรรยากาศสงบ ลดความตึงเครียด และทำให้มีสมาธิกับสิ่งที่ทำอยู่มากขึ้น

    6. พักจากเทคโนโลยี

    การเลื่อนโซเชียลมีเดียตลอดเวลาทำให้จิตใจว้าวุ่น ลองกำหนดเวลา “Digital Detox” เช่น ปิดมือถือหรือคอมพิวเตอร์ช่วงพักกลางวัน แล้วใช้เวลาทำกิจกรรมที่ช่วยให้จิตใจสงบแทน

    7. ฝึกจดจ่อกับประสาทสัมผัส

    เมื่อจิตใจเริ่มลอย ลองกลับมาโฟกัสกับสิ่งที่คุณกำลังสัมผัส เช่น ความรู้สึกจากแก้วกาแฟในมือ กลิ่นอากาศ หรือเสียงรอบตัว วิธีนี้ช่วยดึงสติกลับมาให้อยู่กับปัจจุบันได้ดีขึ้น

    8. ใช้เทคนิค Pomodoro

    เทคนิคนี้ช่วยให้สมองไม่เหนื่อยล้า โดยการทำงานเป็นรอบ ๆ เช่น ทำงาน 25 นาที แล้วพัก 5 นาที ในช่วงพักสามารถลุกเดินหรือหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อเพิ่มสมาธิและความสดชื่นได้

    9. ฝึกโยคะหรือสมาธิสั้น ๆ ระหว่างวัน

    แม้จะมีเวลาเพียง 5-10 นาที ลองทำโยคะเบา ๆ หรือนั่งสมาธิสั้น ๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายและจิตใจสดชื่นขึ้น พร้อมรับมือกับความท้าทายที่ต้องเจอ

    การฝึกสมาธิไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานหรือยุ่งยาก เทคนิคเหล่านี้สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ และเมื่อมีสติที่มั่นคง คุณจะสามารถรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ได้ดีขึ้นอย่างแน่นอน

    อาหารลดสิว

    อาหารลดสิว: เคล็ดลับผิวสวยใสจากภายในสู่ภายนอก

    สิวเป็นปัญหาผิวที่กวนใจใครหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ การดูแลผิวให้สวยใสไร้สิวจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนให้ความสำคัญ นอกจากการดูแลผิวภายนอกแล้ว การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมก็มีส่วนสำคัญในการลดสิวได้เช่นกัน วันนี้เราจะมาเปิดเผยเคล็ดลับอาหารลดสิว ที่จะช่วยให้คุณมีผิวสวยใสจากภายในสู่ภายนอก

    ทำไมอาหารถึงมีผลต่อสิว?

    อาหารที่เราทานเข้าไปมีผลต่อการทำงานของร่างกาย รวมถึงผิวพรรณของเราด้วย อาหารบางชนิดอาจกระตุ้นการสร้างน้ำมันบนใบหน้า ทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดสิวได้ ในขณะที่อาหารบางชนิดมีสารอาหารที่ช่วยลดการอักเสบและบำรุงผิว ทำให้สิวลดลงและผิวแข็งแรงขึ้น

    อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงหากเป็นสิว

    • อาหารที่มีน้ำตาลสูง: เช่น ขนมหวาน น้ำอัดลม อาหารแปรรูป อาหารเหล่านี้จะกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ซึ่งส่งผลให้เกิดการอักเสบและสิว
    • อาหารที่มีไขมันสูง: เช่น อาหารทอด อาหารมัน อาหารเหล่านี้จะเพิ่มการผลิตน้ำมันบนใบหน้า ทำให้เกิดสิวง่ายขึ้น
    • ผลิตภัณฑ์จากนม: บางคนอาจมีอาการแพ้แลคโตสในนม ทำให้เกิดสิวได้
    • อาหารแปรรูป: เช่น ไส้กรอก แฮม อาหารเหล่านี้มักมีโซเดียมสูงและมีสารอาหารน้อย
    • อาหารที่แพ้: หากคุณมีอาการแพ้อาหารชนิดใด ควรหลีกเลี่ยงอาหารชนิดนั้น

    อาหารที่ช่วยลดสิว

    • ผักและผลไม้: ผักและผลไม้อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยบำรุงผิวและลดการอักเสบ ควรเลือกผักและผลไม้ที่มีสีสันสดใส เช่น แครอท ฟักทอง มะเขือเทศ บรอกโคลี ผักโขม ส้ม ฝรั่ง
    • ธัญพืชไม่ขัดสี: เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ควินัว ธัญพืชเหล่านี้มีไฟเบอร์สูง ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดการอักเสบ
    • ปลาที่มีไขมันดี: เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาแมคเคอเรล ปลามีไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งช่วยลดการอักเสบและบำรุงผิว
    • ถั่วและเมล็ดพืช: เช่น อัลมอนด์ วอลนัท เมล็ดเจีย เมล็ดแฟลกซ์ ถั่วและเมล็ดพืชเหล่านี้มีวิตามินอีและสังกะสี ซึ่งช่วยบำรุงผิวและลดการอักเสบ
    • โยเกิร์ตและนมเปรี้ยว: โยเกิร์ตและนมเปรี้ยวมีโปรไบโอติก ซึ่งช่วยเสริมสร้างจุลินทรีย์ดีในลำไส้ ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น

    เคล็ดลับเพิ่มเติม

    • ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและขับของเสียออกจากร่างกาย
    • พักผ่อนให้เพียงพอ: ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเองและลดความเครียด
    • จัดการความเครียด: ความเครียดเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดสิวได้
    • ปรึกษาแพทย์ผิวหนัง: หากมีปัญหาสิวเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม

    สรุป

    การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมเป็นส่วนสำคัญในการดูแลผิวให้สวยใสไร้สิว ควรเน้นอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและหลีกเลี่ยงอาหารที่อาจกระตุ้นให้เกิดสิว นอกจากนี้ การดูแลสุขภาพโดยรวมให้ดี ก็จะช่วยให้ผิวของคุณสวยขึ้นจากภายในสู่ภายนอก


    เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

    ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

    คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

    ยอมรับทั้งหมด
    จัดการความเป็นส่วนตัว
    • เปิดใช้งานตลอด

    บันทึกการตั้งค่า