ข่าวสารวันนี้

ส่องข่าวสาร แวดวงการเมือง อัปเดตรายวัน

    One Bangkok วัน แบงค็อก เมืองใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ

    One Bangkok อยู่ที่ไหน

    One Bangkok วัน แบงค็อก เมืองใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ

    อยากสัมผัสประสบการณ์ใหม่ใจกลางเมือง? One Bangkok คือคำตอบ! โครงการมิกซ์ยูสสุดอลังการบนถนนวิทยุ ที่รวบรวมทุกอย่างไว้ในที่เดียว ตั้งแต่คอนโดหรู โรงแรมระดับโลก ไปจนถึงศูนย์การค้าสุดชิค และพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่

    ทำไมต้อง One Bangkok (วัน แบงค็อก) ?

    • เปิดแล้ววันนี้: พร้อมต้อนรับทุกคนด้วยกิจกรรมสุดพิเศษมากมาย
    • ครบครันทุกความต้องการ: ช้อปปิ้ง กิน ดื่ม เที่ยว ชิลล์ ได้ในที่เดียว
    • ออกแบบเพื่อคนเมือง: เน้นความยั่งยืนและการใช้ชีวิตที่สมดุล

    ไฮไลท์เด็ดใน One Bangkok

    • Signature Tower: ตึกสูงที่สุดในโครงการ มองเห็นวิวเมืองแบบพาโนรามา
    • The Ritz-Carlton: โรงแรมหรูระดับโลก พร้อมบริการสุดประทับใจ
    • Parade: พื้นที่สำหรับจัดงานอีเวนต์และคอนเสิร์ต
    • One Bangkok Park: สวนสาธารณะขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ

    อยากรู้ว่ามีอะไรอีกบ้าง? เยี่ยมชมเว็บไซต์ของวัน แบงค็อก หรือมาสัมผัสประสบการณ์จริงได้เลย!

    นอนก่อน 4 ทุ่ม ดีอย่างไร

    นอนก่อน 4 ทุ่ม ดีอย่างไร: เปิดเผยเคล็ดลับสุขภาพที่ดีกว่าที่เคย

    เคยสงสัยไหมว่าทำไมการเข้านอนก่อน 4 ทุ่มถึงเป็นที่นิยมพูดถึงในหมู่คนที่ใส่ใจสุขภาพ?

    นอนก่อน 4 ทุ่ม ดีอย่างไร ? การนอนหลับเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจของเราอย่างมาก การได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอจะช่วยให้ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สมองได้พักผ่อน และระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่รู้หรือไม่ว่าการนอนหลับก่อน 4 ทุ่มนั้นมีประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด

    ทำไมต้องนอนก่อน 4 ทุ่ม?

    • จังหวะนาฬิกาชีวิต: ร่างกายของเรามีนาฬิกาชีวิตภายในที่ควบคุมวงจรการนอนหลับและตื่น โดยปกติแล้ว ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้ง่วงนอนในช่วงเวลากลางคืน และลดการหลั่งในช่วงเวลากลางวัน การนอนหลับก่อน 4 ทุ่มจะช่วยให้ร่างกายได้ผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินในปริมาณที่เหมาะสม และช่วยให้คุณหลับได้ลึกและยาวนานขึ้น
    • การซ่อมแซมเซลล์: ในช่วงที่เรานอนหลับ ร่างกายจะทำการซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอและสร้างเซลล์ใหม่ การนอนหลับก่อน 4 ทุ่มจะทำให้ร่างกายมีเวลาในการซ่อมแซมเซลล์ได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้ผิวพรรณดูสดใสและสุขภาพดี
    • เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน: การนอนหลับพักผ่อนเพียงพอจะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ
    • ปรับปรุงอารมณ์: การนอนหลับไม่เพียงแต่ส่งผลต่อสุขภาพกาย แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพจิตด้วย การนอนหลับพักผ่อนเพียงพอจะช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล ทำให้อารมณ์ดีขึ้น และมีสมาธิในการทำงานมากขึ้น
    • ควบคุมน้ำหนัก: การนอนหลับไม่เพียงพอจะทำให้ระดับฮอร์โมนที่ควบคุมความหิวและความอิ่มเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้รู้สึกหิวบ่อยและอยากกินอาหารที่มีน้ำตาลสูง ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มน้ำหนักได้ การนอนหลับให้เพียงพอจะช่วยควบคุมระดับฮอร์โมนเหล่านี้และช่วยให้คุณควบคุมน้ำหนักได้ดีขึ้น

    ประโยชน์อื่นๆ ของการนอนก่อน 4 ทุ่ม

    • เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน: การนอนหลับพักผ่อนเพียงพอจะช่วยให้คุณมีสมาธิในการทำงานมากขึ้น ตัดสินใจได้ดีขึ้น และมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น
    • ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง: การนอนหลับไม่เพียงพอมีความเชื่อมโยงกับโรคเรื้อรังหลายชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง การนอนหลับให้เพียงพอจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเหล่านี้
    • ชะลอวัย: การนอนหลับพักผ่อนเพียงพอจะช่วยให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์และชะลอการเกิดริ้วรอย

    สรุป

    การนอนหลับก่อน 4 ทุ่มเป็นการลงทุนที่ดีที่สุดสำหรับสุขภาพของคุณ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอนหลับให้เป็นไปตามธรรมชาติจะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ หากคุณมีปัญหาในการนอนหลับ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและวิธีการแก้ไข

    เคล็ดลับการนอนหลับให้หลับสนิท

    • สร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการนอนหลับ: ทำให้ห้องนอนมืด สงบ และเย็นสบาย
    • หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ก่อนนอน: แสงสีฟ้าจากหน้าจอจะรบกวนการหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนิน
    • ออกกำลังกายเป็นประจำ: การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณนอนหลับได้สนิทมากขึ้น
    • หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนก่อนนอน: คาเฟอีนจะกระตุ้นระบบประสาท ทำให้คุณหลับยากขึ้น
    • กำหนดตารางเวลาในการนอนให้เป็นประจำ: พยายามเข้านอนและตื่นนอนในเวลาเดียวกันทุกวัน

    การนอนหลับก่อน 4 ทุ่มเป็นการเริ่มต้นที่ดีในการดูแลสุขภาพของคุณ ลองปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้แล้วคุณจะรู้สึกถึงความแตกต่างได้เอง

    องุ่นแดง องุ่นเขียว

    องุ่นแดง องุ่นเขียว ต่างกันอย่างไร? รู้ไว้ กินให้ถูกโรค

    องุ่น ผลไม้สีสวย รสชาติหวานอมเปรี้ยว ที่หลายคนชื่นชอบ นอกจากจะอร่อยแล้ว องุ่นยังอุดมไปด้วยสารอาหารมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่รู้หรือไม่ว่า องุ่นแต่ละสีนั้นมีคุณสมบัติและสรรพคุณที่แตกต่างกันไป วันนี้เราจะพาคุณไปไขข้อข้องใจเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่าง องุ่นแดง และ องุ่นเขียว ว่ามีอะไรบ้าง

    ความแตกต่างระหว่าง องุ่นแดง และ องุ่นเขียว

    องุ่นแดง

    องุ่นแดง มีสีแดงเข้มสวยงาม อันเนื่องมาจากสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากความเสียหาย และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคเกี่ยวกับระบบประสาท

    คุณสมบัติเด่นขององุ่นแดง:

    • ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ: สารแอนโทไซยานินในองุ่นแดงช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ ลดความดันโลหิต และป้องกันการเกิดลิ่มเลือด
    • ชะลอความเสื่อมของสมอง: สารต้านอนุมูลอิสระในองุ่นแดงช่วยปกป้องเซลล์ประสาทและชะลอการเสื่อมของสมอง
    • ต้านการอักเสบ: ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ลดอาการปวดเมื่อย
    • บำรุงสายตา: สารเบต้าแคโรทีนช่วยบำรุงสายตา ป้องกันโรคต้อกระจก

    องุ่นเขียว

    องุ่นเขียว มีรสชาติหวานอมเปรี้ยวสดชื่น และมีปริมาณน้ำตาลน้อยกว่าองุ่นแดง อุดมไปด้วยวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น กรดเฟรูลิก (Ferulic acid)

    คุณสมบัติเด่นขององุ่นเขียว:

    • ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานหรือผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
    • บำรุงผิวพรรณ: วิตามินซีช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส และช่วยในการสร้างคอลลาเจน
    • เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน: วิตามินซีช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันการติดเชื้อ
    • ช่วยย่อยอาหาร: ใยอาหารในองุ่นเขียวช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบขับถ่าย

    สรุป

    ทั้งองุ่นแดงและองุ่นเขียวต่างมีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพที่แตกต่างกันออกไป การเลือกทานองุ่นชนิดใดขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวและสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล

    วันหยุดราชการ

    วันหยุดราชการ 2567: เตรียมตัวพักผ่อนกันให้เต็มที่!

    ปี 2567 นี้ มีวันหยุดราชการให้เราได้พักผ่อนกันหลายวันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นวันหยุดประจำปี วันหยุดชดเชย หรือวันหยุดพิเศษต่างๆ มาดูกันว่าปีนี้มีวันหยุดอะไรบ้าง และมีวันหยุดยาวช่วงไหนที่น่าสนใจ

    สรุปวันหยุดราชการปี 2567

    เดือนวันที่ชื่อวันหยุด
    มกราคม1วันขึ้นปีใหม่
    กุมภาพันธ์ไม่มีวันหยุดราชการ
    มีนาคมไม่มีวันหยุดราชการ
    เมษายน6-7วันสงกรานต์
    พฤษภาคมไม่มีวันหยุดราชการ
    มิถุนายน3วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี
    กรกฎาคม28-29วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    สิงหาคมไม่มีวันหยุดราชการ
    กันยายนไม่มีวันหยุดราชการ
    ตุลาคม23วันปิยมหาราช
    พฤศจิกายนไม่มีวันหยุดราชการ
    ธันวาคม5วันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช

    วันหยุดยาวที่น่าสนใจ

    • สงกรานต์: ปีนี้ตรงกับวันที่ 6-7 เมษายน เป็นช่วงเวลาที่หลายคนรอคอยที่จะได้กลับบ้านไปรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่
    • วันเฉลิมพระชนมพรรษา: ทั้งวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำให้มีวันหยุดติดต่อกันหลายวัน
    • วันปิยมหาราช: เป็นอีกหนึ่งวันหยุดที่หลายคนใช้เป็นโอกาสในการพักผ่อน

    เคล็ดลับการวางแผนวันหยุด

    • เช็คปฏิทินล่วงหน้า: เพื่อวางแผนการเดินทางและกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างสะดวก
    • จองตั๋วและที่พักล่วงหน้า: โดยเฉพาะช่วงวันหยุดยาว เพื่อป้องกันการพลาดโอกาสและราคาที่สูงขึ้น
    • เลือกสถานที่ท่องเที่ยว: หาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และวางแผนเส้นทางการเดินทาง
    • เตรียมตัวให้พร้อม: เช่น เตรียมเสื้อผ้าให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ และเตรียมเอกสารสำคัญต่างๆ

    หมายเหตุ: วันหยุดราชการอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับประกาศอย่างเป็นทางการ

    ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับวันหยุดนะคะ!

    วิธีเลือกอะโวคาโด

    วิธีเลือกอะโวคาโดให้ได้ผลสุกกำลังดี อร่อยถูกใจ

    อะโวคาโด ผลไม้สุดฮิตที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ด้วยเนื้อสัมผัสเนียนนุ่ม รสชาติมันๆ หอมละมุน และมีประโยชน์ต่อสุขภาพสูง แต่หลายคนก็ยังสับสนในการเลือกซื้ออะโวคาโดให้ได้ผลที่สุกกำลังดี วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจ และเผยเคล็ดลับในการเลือกซื้ออะโวคาโดให้ได้ผลที่อร่อยถูกใจกันค่ะ

    วิธีเลือกอะโวคาโด

    • สังเกตสี: ผลอะโวคาโดที่สุกกำลังดีจะมีเปลือกสีเขียวเข้ม หรืออาจมีสีม่วงอมดำเล็กน้อย โดยเฉพาะบริเวณใกล้ขั้วผล
    • สัมผัส: กดเบาๆ ที่ผลอะโวคาโด ถ้ารู้สึกนิ่มเล็กน้อยทั่วผล แสดงว่าสุกกำลังดี หากแข็งมากแสดงว่ายังดิบอยู่ แต่ถ้ากดแล้วบุ๋มลงไปมาก แสดงว่าสุกเกินไป เนื้ออาจจะเละได้
    • ดูที่ขั้ว: ขั้วผลอะโวคาโดที่สุกจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล และเมื่อกดเบาๆ จะรู้สึกนิ่ม
    • เขย่า: ลองเขย่าผลอะโวคาโดเบาๆ ถ้าได้ยินเสียงเมล็ดขยับภายใน แสดงว่าสุกกำลังดี แต่ถ้าเงียบสนิทอาจจะยังดิบอยู่
    • สังเกตขนาด: ผลอะโวคาโดที่มีขนาดใหญ่ มักจะมีเนื้อเยอะกว่าผลเล็ก
    • หลีกเลี่ยงผลที่มีรอยช้ำ: ผลอะโวคาโดที่มีรอยช้ำ รอยบุบ หรือรอยด่าง จะมีรสชาติไม่อร่อย และอาจเน่าเสียได้เร็ว

    เคล็ดลับการเร่งให้อะโวคาโดสุกเร็วขึ้น

    • วิธีที่ 1: ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์: ห่อผลอะโวคาโดด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ แล้วเก็บไว้ในที่อุณหภูมิห้องประมาณ 1-2 วัน เอทิลีนที่ปล่อยออกมาจากผลไม้จะช่วยเร่งให้สุกเร็วขึ้น
    • วิธีที่ 2: ใช้กล้วย: วางผลอะโวคาโดไว้ใกล้ๆ กล้วยสุก กล้วยจะปล่อยแก๊สเอทิลีนออกมา ช่วยเร่งให้อะโวคาโดสุกเร็วขึ้น
    • วิธีที่ 3: ใช้เตาอบ: อุ่นเตาอบที่อุณหภูมิต่ำ ประมาณ 100 องศาเซลเซียส วางผลอะโวคาโดบนถาด แล้วอบประมาณ 10-15 นาที วิธีนี้จะช่วยให้เนื้ออะโวคาโดนิ่มเร็วขึ้น

    วิธีเก็บรักษาอะโวคาโดให้สด

    • อะโวคาโดที่ยังไม่สุก: เก็บไว้ในที่อุณหภูมิห้อง
    • อะโวคาโดที่สุกแล้ว: หากยังไม่พร้อมทาน สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นช่องผักได้ แต่เนื้อจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลได้เร็วขึ้น
    • อะโวคาโดที่หั่นแล้ว: หากหั่นอะโวคาโดออกมาแล้วทานไม่หมด สามารถเก็บไว้ในตู้เย็น โดยห่อด้วยพลาสติกแรปให้แน่นๆ หรือจะราดด้วยน้ำมะนาวเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อเปลี่ยนสี

    เคล็ดลับเพิ่มเติม:

    • หากต้องการให้อะโวคาโดสุกช้าลง สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นช่องผักได้
    • อะโวคาโดที่สุกกำลังดี จะมีเนื้อสีเหลืองอ่อน หรือสีเขียวอ่อน เนื้อนุ่ม และมีรสชาติมันๆ หอมละมุน
    ใบบัวบก โทษ

    ใบบัวบก สมุนไพรยอดนิยม แต่มีโทษที่ควรรู้

    ใบบัวบกเป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีสรรพคุณทางยาที่หลากหลาย อาทิ ช่วยบำรุงสมอง เพิ่มความจำ แก้ปัญหาผิว และลดอาการอักเสบ ทำให้มีการนำใบบัวบกมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นอาหารเสริม เครื่องสำอาง หรือผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ

    แต่ทราบหรือไม่ว่า ใบบัวบกก็มีโทษที่อาจเกิดขึ้นได้หากบริโภคในปริมาณที่มากเกินไป หรือผู้ที่มีสภาวะสุขภาพบางอย่าง

    โทษของใบบัวบก

    • ผลกระทบต่อระบบประสาท: แม้ว่าใบบัวบกจะช่วยบำรุงสมอง แต่การบริโภคในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน และง่วงซึมได้
    • กดระบบประสาทส่วนกลาง: ใบบัวบกมีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง หากใช้ร่วมกับยาที่มีฤทธิ์กดประสาท เช่น ยานอนหลับ ยาแก้ปวด อาจทำให้เกิดอาการง่วงซึมมากเกินไป และส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาท
    • ลดความดันโลหิต: ใบบัวบกมีฤทธิ์ช่วยลดความดันโลหิต ผู้ป่วยความดันโลหิตต่ำ หรือผู้ที่กำลังรับประทานยาลดความดันโลหิต ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานใบบัวบก
    • เพิ่มความเสี่ยงเลือดออก: ใบบัวบกมีฤทธิ์ต่อต้านการแข็งตัวของเลือด ผู้ที่กำลังรับประทานยาละลายลิ่มเลือด หรือมีแผลเปิด ควรระมัดระวังในการใช้ใบบัวบก
    • ปฏิกิริยาระหว่างยา: ใบบัวบกอาจมีปฏิกิริยากับยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด ยาต้านเชื้อรา และยาต้านการอักเสบไม่สเตียรอยด์ จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้

    ใครบ้างที่ไม่ควรรับประทานใบบัวบก

    • หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร: เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลเพียงพอเกี่ยวกับผลกระทบของใบบัวบกต่อทารกในครรภ์และทารกแรกเกิด
    • ผู้ป่วยโรคตับและไต: ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับและไต ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
    • ผู้ที่กำลังจะเข้ารับการผ่าตัด: ควรหยุดรับประทานใบบัวบกก่อนการผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออก
    • ผู้ที่แพ้ใบบัวบก: ผู้ที่แพ้ใบบัวบก อาจมีอาการแพ้ เช่น ผื่นคัน บวม

    ข้อควรระวังในการใช้ใบบัวบก

    • ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร: ก่อนใช้ใบบัวบก ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล
    • อ่านฉลากอย่างละเอียด: ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของใบบัวบก ควรอ่านฉลากอย่างละเอียด เพื่อตรวจสอบปริมาณที่เหมาะสมและข้อควรระวัง
    • ไม่ควรใช้ใบบัวบกเกินขนาดที่กำหนด: การใช้ใบบัวบกในปริมาณที่มากเกินไป อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้
    • หยุดใช้ทันทีหากมีอาการผิดปกติ: หากมีอาการผิดปกติหลังจากรับประทานใบบัวบก ควรหยุดใช้ทันที และปรึกษาแพทย์

    สรุป ใบบัวบกเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีโทษของใบบัวบกที่อาจเกิดขึ้นได้หากใช้ไม่ถูกวิธี การใช้ใบบัวบกอย่างปลอดภัยควรอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ

    คอลลาเจน โทษ

    โทษของคอลลาเจน ด้านมืดที่คุณอาจไม่เคยรู้

    คอลลาเจน เป็นโปรตีนที่ได้รับความนิยมอย่างมากในวงการความงามและสุขภาพ เนื่องจากเชื่อกันว่าช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง ชะลอวัย และบำรุงข้อต่อให้แข็งแรง แต่ทว่า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจนก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่เราควรพิจารณาให้รอบคอบ

    ข้อดีของคอลลาเจน

    • บำรุงผิวพรรณ: ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ลดเลือนริ้วรอย และทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์
    • บำรุงข้อต่อ: ช่วยลดอาการปวดข้อ บำรุงกระดูกอ่อน และเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อ
    • บำรุงผมและเล็บ: ช่วยให้ผมและเล็บแข็งแรงขึ้น ลดปัญหาผมขาดและเล็บเปราะ
    • ช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อ: คอลลาเจนเป็นส่วนประกอบสำคัญของกล้ามเนื้อ ช่วยในการซ่อมแซมและสร้างกล้ามเนื้อใหม่

    ผลข้างเคียงและโทษของคอลลาเจน

    แม้ว่าคอลลาเจนจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีข้อควรระวังและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนี้

    • ผลข้างเคียง: การรับประทานคอลลาเจนอาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง และปฏิกิริยาแพ้ในบางราย
    • ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพียงพอ: แม้จะมีการศึกษาเกี่ยวกับคอลลาเจนมามากมาย แต่ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนและเพียงพอที่จะยืนยันประสิทธิภาพในการรักษาโรคต่างๆ
    • ราคาสูง: ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจนส่วนใหญ่มีราคาค่อนข้างสูง อาจเป็นภาระทางการเงินสำหรับบางคน
    • ไม่เหมาะสำหรับทุกคน: ผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือแพ้อาหารทะเล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานคอลลาเจน

    สรุป

    คอลลาเจนเป็นสารอาหารที่เป็นที่นิยมและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ก่อนที่จะตัดสินใจรับประทาน ควรพิจารณาประโยชน์และโทษของคอลลาเจนให้ดี และปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้คำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของตนเอง

    เมนูอาหารเจ

    อาหารเจ ทำเองง่ายๆ อร่อยครบรส ไม่ต้องง้อร้าน

    เทศกาลกินเจใกล้เข้ามาแล้ว หลายคนคงกำลังมองหาเมนูอาหารเจแสนอร่อยทำทานเองที่บ้านใช่ไหมคะ? ไม่ต้องกังวลไปค่ะ วันนี้เรามีเมนูอาหารเจง่ายๆ ที่ทำตามได้ไม่ยาก มาฝากกันหลายเมนูเลยทีเดียว รับรองว่าอร่อยถูกปากแน่นอน

    ทำไมต้องทำอาหารเจกินเอง?

    • ควบคุมวัตถุดิบ: เลือกวัตถุดิบที่สดใหม่ ปลอดสารพิษ ได้ตามใจชอบ
    • อร่อยและมีประโยชน์: ปรุงรสชาติได้ตามชอบ เน้นผักสด ผลไม้ และโปรตีนจากพืช
    • ประหยัดค่าใช้จ่าย: ทำเองได้ในปริมาณที่ต้องการ ไม่ต้องซื้อแพง
    • สนุกกับการทำอาหาร: ได้เรียนรู้สูตรอาหารใหม่ๆ และสร้างสรรค์เมนูได้หลากหลาย

    เมนูอาหารเจง่ายๆ ทำเองได้ที่บ้าน

    • ผัดผักรวมมิตร: เมนูเบสิคที่ทำง่าย เพียงแค่เตรียมผักหลากสีสัน เช่น แครอท ฟักทอง ถั่วฝักยาว ผัดกับซอสปรุงรสเจ ก็อร่อยแล้ว
    • ต้มจืดเต้าหู้: เมนูสุขภาพ อิ่มท้อง ด้วยเต้าหู้เนื้อนุ่ม ผักกาดขาว เห็ดหอม ต้มกับน้ำซุปใสๆ ปรุงรสด้วยซอสปรุงรสเจ
    • ผัดกระเพราเต้าหู้: เมนูสุดฮิตที่ทำเป็นเจได้ เพียงแค่เปลี่ยนเนื้อสัตว์เป็นเต้าหู้หมัก หรือโปรตีนเกษตร ผัดกับพริกแกงเขียวหวานเจ
    • แกงเขียวหวานเจ: เมนูแกงรสจัดจ้าน หอมเครื่องแกงเขียวหวาน ใช้เต้าหู้ หรือเห็ดแทนเนื้อสัตว์
    • ผัดไทยเจ: เมนูเส้นยอดนิยม เพียงแค่เปลี่ยนเส้นหมี่เป็นเส้นจันท์ หรือเส้นก๋วยเตี๋ยวหลอด แล้วผัดกับซอสผัดไทยเจ
    • ข้าวผัดเจ: ข้าวสวยร้อนๆ ผัดกับผักหลากสีสัน และไข่เจ
    • ส้มตำเจ: เปรี้ยว เผ็ด เค็ม หวาน ครบรส สดชื่น
    • ยำวุ้นเส้นเจ: วุ้นเส้นเหนียวนุ่ม คลุกเคล้ากับน้ำยำรสเด็ด

    เคล็ดลับการทำอาหารเจให้อร่อย

    • เลือกวัตถุดิบสดใหม่: วัตถุดิบสดใหม่จะช่วยให้อาหารมีรสชาติอร่อย
    • ปรุงรสด้วยสมุนไพร: ใช้สมุนไพรไทย เช่น ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมและรสชาติ
    • ใช้เครื่องปรุงรสเจ: มีจำหน่ายมากมายหลากหลายชนิด เช่น ซอสปรุงรสเจ น้ำปลาเจ ซีอิ๊วขาวเจ
    • สร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ: ลองปรับเปลี่ยนสูตรอาหารเดิมๆ ให้เป็นเมนูเจ

    ตัวอย่างสูตรอาหารเจ ผัดผักรวมมิตร

    วัตถุดิบ

    • ผักรวมมิตร (แครอท, ฟักทอง, ถั่วฝักยาว, กะหล่ำปลี)
    • เห็ด
    • น้ำมันพืช
    • ซอสปรุงรสเจ
    • น้ำตาลทราย
    • พริกไทย

    วิธีทำ

    1. หั่นผักและเห็ดเป็นชิ้นพอคำ
    2. ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืช พอร้อนนำผักลงผัดจนสุก
    3. ปรุงรสด้วยซอสปรุงรสเจ น้ำตาลทราย และพริกไทย ชิมรสตามชอบ
    4. ตักเสิร์ฟ

    เพียงเท่านี้ก็ได้เมนูอาหารเจอร่อยๆ ทานเองที่บ้านแล้วค่ะ ลองทำตามสูตรนี้ หรือจะปรับเปลี่ยนวัตถุดิบตามชอบก็ได้นะคะ

    ไฟไหม้รสบัส

    โศกนาฏกรรม! ไฟไหม้รถบัสนักเรียน ดับ 23 ชีวิต ถังแก๊ส 15 ปี ตรวจสอบสาเหตุเร่งด่วน

    เหตุการณ์สลดใจเกิดขึ้นเมื่อรถบัสทัศนศึกษาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาจากโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จังหวัดอุทัยธานี เกิดไฟไหม้ขณะเดินทางบนถนนพหลโยธิน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 23 ราย ประกอบด้วยนักเรียน 20 คน และครูอีก 3 คน เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความโศกเศร้าให้กับครอบครัวผู้สูญเสียและสังคมไทยเป็นอย่างมาก

    จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่ารถบัสคันเกิดเหตุใช้แก๊ส NGV ซึ่งมีอายุการใช้งานถึง 15 ปีแล้ว และกำลังจะหมดอายุในปี 2569 อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่แท้จริงของการเกิดไฟไหม้รสบัสยังอยู่ระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ…

    โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

    โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด: ความรู้เบื้องต้นที่คุณควรรู้

    โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดคืออะไร?

    โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (Congenital heart disease) คือภาวะที่หัวใจและหลอดเลือดใหญ่มีโครงสร้างผิดปกติตั้งแต่เกิด ซึ่งเกิดจากความผิดพลาดในการเจริญเติบโตของหัวใจในช่วงที่ทารกอยู่ในครรภ์ โรคนี้สามารถพบได้ในทารกแรกเกิดทุก 100 คน และมีหลากหลายรูปแบบความรุนแรง

    สาเหตุของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

    สาเหตุที่แน่ชัดของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ปัจจัยเสี่ยงบางประการที่อาจเกี่ยวข้อง ได้แก่

    • พันธุกรรม: มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
    • ปัจจัยสิ่งแวดล้อม: การติดเชื้อในระหว่างตั้งครรภ์ การได้รับสารพิษ เช่น ยาบางชนิด แอลกอฮอล์ หรือสารเสพติด
    • โรคประจำตัวของมารดา: โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคติดเชื้อบางชนิด

    อาการของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

    อาการของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของโรค แต่โดยทั่วไปอาจพบอาการดังนี้

    • หายใจลำบาก: หายใจเร็ว หอบเหนื่อย
    • สีผิวซีด: โดยเฉพาะบริเวณริมฝีปากและเล็บ
    • เหนื่อยง่าย: แม้จะทำกิจวัตรประจำวัน
    • น้ำหนักตัวไม่ขึ้น: เด็กเติบโตช้า
    • หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
    • บวม: ที่ขาหรือท้อง

    การวินิจฉัยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

    แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดได้โดยอาศัยประวัติการเจ็บป่วย การตรวจร่างกาย และการตรวจเพิ่มเติม เช่น

    • ฟังเสียงหัวใจ: แพทย์จะใช้หูฟังเพื่อฟังเสียงผิดปกติของหัวใจ
    • เอกซเรย์ทรวงอก: เพื่อดูขนาดและรูปร่างของหัวใจ
    • คลื่นไฟฟ้าหัวใจ: เพื่อตรวจสอบการทำงานของไฟฟ้าในหัวใจ
    • อัลตราซาวด์หัวใจ: เป็นการตรวจที่สำคัญที่สุดในการวินิจฉัยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
    • การสวนหัวใจ: เพื่อตรวจสอบโครงสร้างของหัวใจโดยละเอียด

    การรักษาโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

    การรักษาโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดจะขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของโรค โดยอาจรักษาด้วย

    • ยา: เพื่อควบคุมอาการและลดความดันในหลอดเลือด
    • การผ่าตัด: เพื่อแก้ไขความผิดปกติของโครงสร้างหัวใจ

    การดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

    ผู้ป่วยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดจำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ โดยอาจต้องได้รับยาตามที่แพทย์สั่ง และเข้ารับการตรวจสุขภาพตามนัดหมายอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ผู้ปกครองควรให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพทั่วไปของเด็ก เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกาย และการพักผ่อนให้เพียงพอ

    คำแนะนำสำหรับผู้ปกครอง:

    • ปรึกษาแพทย์: หากสงสัยว่าบุตรหลานมีอาการของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง
    • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์: ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
    • ดูแลสุขภาพของบุตรหลาน: ให้บุตรหลานได้รับวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ ตามกำหนด
    • ให้กำลังใจบุตรหลาน: สร้างความเข้าใจและให้กำลังใจบุตรหลานอยู่เสมอ

    หมายเหตุ: ข้อมูลนี้เป็นเพียงข้อมูลทั่วไป ไม่สามารถใช้ทดแทนคำแนะนำจากแพทย์ได้ ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล


    เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

    ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

    คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

    ยอมรับทั้งหมด
    จัดการความเป็นส่วนตัว
    • เปิดใช้งานตลอด

    บันทึกการตั้งค่า