ข่าวสารวันนี้

ส่องข่าวสาร แวดวงการเมือง อัปเดตรายวัน

    Tag Archive : สุขภาพ

    กู้ผิวหลังสงกรานต์

    กู้ผิวสวยใส ท้าแดดแรง หลังสงกรานต์!

    สงกรานต์ผ่านพ้นไปพร้อมกับความสนุกสนานและกิจกรรมกลางแจ้งมากมาย สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือการเผชิญกับแสงแดดที่แผดจ้าและน้ำที่อาจไม่สะอาด ทำให้ผิวของเราบอบช้ำ หมองคล้ำ แห้งกร้าน หรืออาจเกิดผื่นแพ้ได้ การฟื้นฟูผิวหลังสงกรานต์จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ผิวกลับมาสวยใส สุขภาพดี พร้อมรับวันใหม่

    สัญญาณผิวที่ต้องการการกู้ด่วน หลังสงกรานต์

    • ผิวหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ: แสงแดดเป็นตัวการหลักที่กระตุ้นการสร้างเม็ดสีผิว ทำให้ผิวดูคล้ำเสียและสีผิวไม่สม่ำเสมอ
    • ผิวแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น: การโดนน้ำและแสงแดดเป็นเวลานาน ทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ
    • ผิวแสบร้อน แดง: อาการผิวไหม้แดดเป็นสิ่งที่พบบ่อยหลังสงกรานต์ ทำให้ผิวรู้สึกแสบร้อนและแดง
    • ผิวลอกเป็นขุย: ผิวที่ถูกทำร้ายจากแสงแดดมักจะแห้งและลอกเป็นขุย
    • เกิดผื่นแพ้ สิวอุดตัน: น้ำที่ไม่สะอาดหรือผลิตภัณฑ์กันแดดที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและอุดตันรูขุมขน

    5 ขั้นตอนกู้ผิวสวยใส หลังสงกรานต์

    1. ปลอบประโลมผิวที่ไหม้แดด:
      • ประคบเย็น: ใช้ผ้าเย็นหรือเจลเย็นประคบบริเวณที่ผิวไหม้แดด เพื่อลดอาการแสบร้อนและการอักเสบ
      • ว่านหางจระเข้: ทาเจลว่านหางจระเข้บริสุทธิ์บนผิวที่ไหม้แดด จะช่วยลดการอักเสบและให้ความชุ่มชื้น
      • หลีกเลี่ยงแสงแดด: พยายามอยู่ในที่ร่มและหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรงในช่วงนี้
    2. เติมความชุ่มชื้นให้ผิวอย่างล้ำลึก:
      • มอยส์เจอไรเซอร์เข้มข้น: เลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของ Hyaluronic Acid, Ceramide หรือ Glycerin เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้ผิวที่แห้งกร้าน
      • มาส์กหน้า: ใช้มาส์กหน้าที่มีส่วนผสมให้ความชุ่มชื้น เช่น ว่านหางจระเข้ แตงกวา หรือ Hyaluronic Acid เป็นประจำ
      • ดื่มน้ำเยอะๆ: การดื่มน้ำให้เพียงพอจากภายในก็สำคัญไม่แพ้กัน
    3. ผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน:
      • สครับผิวสูตรอ่อนโยน: เลือกใช้สครับที่มีเม็ดบีดส์ขนาดเล็ก หรือสครับที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ เช่น น้ำตาลทรายแดงบดละเอียด หรือข้าวโอ๊ตบด เพื่อผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกอย่างอ่อนโยน สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง
      • ผลิตภัณฑ์ AHA/BHA: หากผิวไม่บอบบางมาก สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA หรือ BHA ในความเข้มข้นต่ำ เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดรอยดำรอยแดง
    4. ฟื้นฟูผิวให้กระจ่างใส ลดรอยดำ:
      • เซรั่มวิตามินซี: วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดเลือนจุดด่างดำ ความหมองคล้ำ และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
      • ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Niacinamide: ช่วยลดรอยดำรอยแดง ลดการอักเสบ และเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว
      • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ไวท์เทนนิ่งแรงๆ: ในช่วงที่ผิวกำลังบอบช้ำ ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ทำให้ผิวขาวขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะอาจก่อให้เกิดการระคายเคือง
    5. ปกป้องผิวจากแสงแดดอย่างเคร่งครัด:
      • ทาครีมกันแดด: เลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป และ PA+++ ขึ้นไป ทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอก่อนออกแดดอย่างน้อย 20 นาที และทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง
      • สวมใส่เสื้อผ้าปกคลุม: สวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว หมวก และแว่นกันแดด เพื่อปกป้องผิวจากแสงแดดโดยตรง

    เคล็ดลับดูแลผิวเพิ่มเติมหลังสงกรานต์

    • พักผ่อนให้เพียงพอ: การนอนหลับอย่างมีคุณภาพจะช่วยให้ผิวได้ฟื้นฟูตัวเอง
    • ทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นทานผัก ผลไม้ ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
    • หลีกเลี่ยงการสัมผัสผิวหน้าบ่อยๆ: เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดสิว
    • หากมีอาการแพ้หรือระคายเคืองรุนแรง: ควรรีบปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง

    การดูแลและฟื้นฟูผิวหลังสงกรานต์ต้องอาศัยความใส่ใจและสม่ำเสมอ หากทำตามขั้นตอนและเคล็ดลับเหล่านี้ ผิวของคุณก็จะกลับมาสวยใส สุขภาพดี พร้อมรับทุกสถานการณ์ได้อย่างแน่นอน อย่าละเลยการดูแลผิวหลังสงกรานต์ เพื่อผิวที่สวยสดใสไปยาวนานนะคะ!

    คำแนะนำ: หากมีข้อสงสัยหรืออาการผิวหนังรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวของคุณ

    อาหารบำรุงเส้นผม

    อาหารบำรุงเส้นผม: เติมความแข็งแรง เงางาม จากภายในสู่ภายนอก

    เส้นผมที่สวยสุขภาพดี ไม่ได้มาจากการบำรุงภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องอาศัยอาหารที่มีประโยชน์ในการเสริมสร้างความแข็งแรงจากภายในสู่ภายนอก การรับประทานอาหารบำรุงเส้นผมที่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และโปรตีนที่จำเป็น จะช่วยให้เส้นผมแข็งแรง เงางาม ลดปัญหาผมร่วง ผมบาง และผมแห้งเสียได้ วันนี้เราจะมาดูกันว่ามีอาหารชนิดใดบ้างที่ช่วยบำรุงเส้นผมของคุณให้สวยสุขภาพดี

    สารอาหารสำคัญที่ช่วยบำรุงเส้นผม

    • โปรตีน: เป็นส่วนประกอบหลักของเส้นผม การได้รับโปรตีนอย่างเพียงพอจะช่วยให้เส้นผมแข็งแรง ไม่เปราะหักง่าย
    • ธาตุเหล็ก: ช่วยในการลำเลียงออกซิเจนไปยังรากผม หากร่างกายขาดธาตุเหล็ก อาจทำให้ผมร่วงและผมบางได้
    • สังกะสี: มีบทบาทสำคัญในการเจริญเติบโตของเส้นผมและการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
    • ไบโอติน (วิตามินบี 7): ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเส้นผมและเล็บ การขาดไบโอตินอาจทำให้ผมร่วงได้
    • วิตามินซี: ช่วยในการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเส้นผมและหนังศีรษะ
    • วิตามินอี: เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเส้นผมและหนังศีรษะจากความเสียหาย
    • โอเมก้า 3 และโอเมก้า 6: ไขมันจำเป็นเหล่านี้ช่วยให้หนังศีรษะชุ่มชื้นและเส้นผมเงางาม

    อาหารบำรุงเส้นผมที่คุณควรรับประทาน

    1. ไข่: อุดมไปด้วยโปรตีน ไบโอติน และสังกะสี ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญสำหรับเส้นผมแข็งแรง
    2. ปลาที่มีไขมัน: เช่น ปลาแซลมอน ปลาทู และปลาซาร์ดีน เป็นแหล่งของโอเมก้า 3 และวิตามินดี ที่ช่วยบำรุงหนังศีรษะและทำให้ผมเงางาม
    3. ผักใบเขียวเข้ม: เช่น ผักโขม คะน้า มีธาตุเหล็ก วิตามินเอ และวิตามินซีสูง ซึ่งช่วยบำรุงรากผมและกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม
    4. ถั่วและเมล็ดพืช: เช่น อัลมอนด์ วอลนัท เมล็ดฟักทอง และเมล็ดทานตะวัน เป็นแหล่งของสังกะสี วิตามินอี และไบโอติน
    5. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่: เช่น สตรอว์เบอร์รี บลูเบอร์รี มีวิตามินซีสูง ซึ่งช่วยในการสร้างคอลลาเจน
    6. แครอท: อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน ซึ่งร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ช่วยบำรุงหนังศีรษะ
    7. อะโวคาโด: เป็นแหล่งของไขมันดี วิตามินอี และไบโอติน ที่ช่วยให้ผมชุ่มชื้นและเงางาม
    8. ข้าวโอ๊ต: มีสังกะสี เหล็ก และไบโอติน ซึ่งช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรง
    9. เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน: เช่น เนื้อไก่และเนื้อวัว เป็นแหล่งโปรตีนและธาตุเหล็กที่ดี
    10. โยเกิร์ต: มีโปรตีนและไบโอติน ซึ่งช่วยบำรุงเส้นผมและหนังศีรษะ

    อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อสุขภาพผมที่ดี

    • อาหารแปรรูป: มักมีสารอาหารน้อยและอาจมีสารเคมีที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพผม
    • อาหารที่มีน้ำตาลสูง: อาจทำให้เกิดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งส่งผลเสียต่อการเจริญเติบโตของเส้นผม
    • อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง: อาจทำให้หนังศีรษะมันและอุดตันรูขุมขน

    เคล็ดลับเพิ่มเติมเพื่อบำรุงเส้นผม

    • ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ช่วยให้หนังศีรษะชุ่มชื้นและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเส้นผม
    • หลีกเลี่ยงความเครียด: ความเครียดอาจทำให้ผมร่วงได้
    • ดูแลเส้นผมอย่างอ่อนโยน: หลีกเลี่ยงการหวีผมแรงๆ และการใช้ความร้อนกับผมมากเกินไป

    สรุป

    การรับประทานอาหารที่สมดุลและอุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็น เป็นพื้นฐานสำคัญของการมีเส้นผมที่สวยสุขภาพดี การใส่ใจเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ควบคู่ไปกับการดูแลเส้นผมอย่างถูกวิธี จะช่วยให้คุณมีเส้นผมที่แข็งแรง เงางาม และลดปัญหาผมต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    คำแนะนำ: ลองเพิ่มอาหารบำรุงเส้นผมเหล่านี้เข้าไปในมื้ออาหารประจำวันของคุณ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงและความงามให้กับเส้นผมของคุณจากภายในสู่ภายนอก

    น้ํามันถั่วเหลือง ดีไหม

    น้ำมันถั่วเหลือง: ดีหรือไม่ดีต่อสุขภาพ?

    น้ำมันถั่วเหลืองป็นน้ำมันพืชที่ได้รับความนิยมในการนำมาประกอบอาหารอย่างแพร่หลายในประเทศไทย เนื่องจากมีราคาไม่แพงและหาซื้อได้ง่าย อย่างไรก็ตาม ก็มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับประโยชน์และโทษของน้ำมันถั่วเหลืองต่อสุขภาพ วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับน้ำมันถั่วเหลืองให้มากขึ้น เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจเลือกใช้น้ำมันได้อย่างเหมาะสม

    ประโยชน์ของน้ำมันถั่วเหลือง

    • มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว: น้ำมันถั่วเหลืองมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (PUFAs) สูง ซึ่งเป็นไขมันที่ดีต่อสุขภาพ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL)
    • มีวิตามินอี: น้ำมันถั่วเหลืองเป็นแหล่งของวิตามินอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายและชะลอความเสื่อมของร่างกาย
    • มีกรดไขมันโอเมก้า 3: น้ำมันถั่วเหลืองมีกรดไขมันโอเมก้า 3 ในปริมาณที่พอเหมาะ ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด

    โทษของน้ำมันถั่วเหลือง

    • มีกรดไขมันโอเมก้า 6 สูง: น้ำมันถั่วเหลืองมีกรดไขมันโอเมก้า 6 สูง ซึ่งหากบริโภคมากเกินไปอาจทำให้เกิดการอักเสบในร่างกายได้
    • อาจผ่านกระบวนการแปรรูป: น้ำมันถั่วเหลืองส่วนใหญ่มักผ่านกระบวนการแปรรูป ซึ่งอาจทำให้สูญเสียสารอาหารบางชนิดและเกิดสารประกอบที่เป็นอันตราย
    • อาจมีการตัดแต่งพันธุกรรม (GMO): ถั่วเหลืองส่วนใหญ่ที่นำมาผลิตน้ำมันอาจมีการตัดแต่งพันธุกรรม ซึ่งยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันถึงความปลอดภัยต่อสุขภาพ

    คำแนะนำในการใช้น้ำมันถั่วเหลือง

    • เลือกน้ำมันถั่วเหลืองที่ผ่านกระบวนการสกัดเย็น (cold-pressed) หรือน้ำมันถั่วเหลืองออร์แกนิก เพื่อรักษาสารอาหารให้ได้มากที่สุด
    • ใช้น้ำมันถั่วเหลืองในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ควรบริโภคมากเกินไป
    • ใช้น้ำมันถั่วเหลืองในการปรุงอาหารที่ใช้ความร้อนปานกลาง เช่น ผัด หรืออบ
    • หลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันถั่วเหลืองในการทอดอาหารที่ใช้ความร้อนสูง เนื่องจากอาจทำให้เกิดสารประกอบที่เป็นอันตราย

    สรุป

    น้ำมันถั่วเหลืองมีทั้งประโยชน์และโทษต่อสุขภาพ การเลือกใช้น้ำมันถั่วเหลืองอย่างเหมาะสมและในปริมาณที่พอเหมาะ จะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์จากน้ำมันถั่วเหลืองโดยไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับน้ำมันถั่วเหลือง ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ เพื่อขอคำแนะนำที่เหมาะสมกับสุขภาพของคุณ

    น้ำหมักผลไม้

    น้ำหมักผลไม้: เคล็ดลับสุขภาพและความงามจากธรรมชาติ

    น้ำหมักผลไม้เป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากมีสรรพคุณทางยาและประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย น้ำหมักผลไม้ทำจากผลไม้หลากหลายชนิด หมักกับน้ำตาลหรือน้ำผึ้ง จนเกิดกระบวนการหมักทางชีวภาพ ทำให้เกิดสารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

    ประโยชน์ของน้ำหมักผลไม้

    • อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ: น้ำหมักผลไม้มีวิตามินและแร่ธาตุสูง เช่น วิตามินซี วิตามินเอ วิตามินบี โพแทสเซียม และแมกนีเซียม ซึ่งช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรง
    • มีสารต้านอนุมูลอิสระ: สารต้านอนุมูลอิสระในน้ำหมักผลไม้ช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากความเสียหาย ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็งและโรคหัวใจ
    • ช่วยระบบย่อยอาหาร: น้ำหมักผลไม้มีเอนไซม์และโปรไบโอติกส์ที่ช่วยปรับสมดุลระบบย่อยอาหาร ลดอาการท้องผูกและท้องเสีย
    • เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: วิตามินและแร่ธาตุในน้ำหมักผลไม้ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายแข็งแรงและต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดีขึ้น
    • บำรุงผิวพรรณ: น้ำหมักผลไม้ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส ลดเลือนริ้วรอยและจุดด่างดำ
    • ช่วยลดน้ำหนัก: น้ำหมักผลไม้มีแคลอรี่ต่ำและมีใยอาหารสูง ช่วยให้อิ่มนานและควบคุมน้ำหนักได้ดี

    ผลไม้ที่นิยมนำมาทำน้ำหมัก

    • สับปะรด: มีเอนไซม์บรอมมีเลน ช่วยย่อยอาหารและลดการอักเสบ
    • มะนาว: มีวิตามินซีสูง ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและบำรุงผิวพรรณ
    • เสาวรส: มีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยบำรุงผิวพรรณและชะลอวัย
    • มะเฟือง: มีวิตามินซีและใยอาหารสูง ช่วยระบบย่อยอาหารและลดระดับน้ำตาลในเลือด
    • กล้วย: มีโพแทสเซียมสูง ช่วยควบคุมความดันโลหิตและบำรุงหัวใจ
    • มะละกอ: มีเอนไซม์ปาเปน ช่วยย่อยอาหารและลดอาการท้องผูก

    วิธีทำน้ำหมักผลไม้

    1. เลือกผลไม้ที่สดใหม่และสะอาด
    2. ล้างผลไม้ให้สะอาดและหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
    3. ใส่ผลไม้ลงในภาชนะแก้วหรือพลาสติก
    4. เติมน้ำตาลหรือน้ำผึ้งลงไปในอัตราส่วนที่เหมาะสม (โดยทั่วไปคือ ผลไม้ 3 ส่วน น้ำตาล 1 ส่วน)
    5. คนให้เข้ากันและปิดฝาให้สนิท
    6. หมักทิ้งไว้ในที่ร่มประมาณ 1-3 เดือน
    7. กรองเอากากออกและเก็บน้ำหมักไว้ในตู้เย็น

    ข้อควรระวัง

    • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนดื่มน้ำหมักผลไม้
    • ควรดื่มน้ำหมักผลไม้ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ควรดื่มมากเกินไป
    • ควรเลือกซื้อน้ำหมักผลไม้จากแหล่งที่เชื่อถือได้

    สรุป

    น้ำหมักผลไม้เป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย แต่ควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสมและเลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากน้ำหมักผลไม้

    ระบบเผาผลาญพัง ดูยังไง

    ระบบเผาผลาญพัง ดูยังไง? สัญญาณเตือนที่ควรรู้

    ระบบเผาผลาญพัง ดูยังไง?? ระบบเผาผลาญ (Metabolism) คือกระบวนการที่ร่างกายเปลี่ยนอาหารและเครื่องดื่มให้เป็นพลังงาน หากระบบเผาผลาญทำงานผิดปกติ หรือที่เรียกกันว่า “ระบบเผาผลาญพัง” จะส่งผลต่อการควบคุมน้ำหนักและสุขภาพโดยรวมได้

    สัญญาณเตือนว่าระบบเผาผลาญอาจพัง

    • น้ำหนักขึ้นง่าย ลดน้ำหนักยาก:
      • แม้จะควบคุมอาหารและออกกำลังกาย แต่น้ำหนักก็ไม่ลดลง หรือกลับเพิ่มขึ้นง่าย
      • ร่างกายสะสมไขมันมากกว่าปกติ โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง
    • อ่อนเพลีย ไม่มีแรง:
      • รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลียตลอดเวลา แม้จะพักผ่อนเพียงพอ
      • ไม่มีแรงทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน
    • อารมณ์แปรปรวน:
      • หงุดหงิดง่าย ฉุนเฉียว หรือเศร้าซึมโดยไม่มีสาเหตุ
      • ความรู้สึกแปรปรวนขึ้นลงบ่อยครั้ง
    • ปัญหาการนอนหลับ:
      • หลับยาก หรือหลับไม่สนิท
      • รู้สึกง่วงนอนตลอดเวลา แม้จะนอนหลับเพียงพอ
    • ผิวแห้ง ผมร่วง:
      • ผิวแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น
      • ผมร่วงมากกว่าปกติ
    • ประจำเดือนผิดปกติ (ในผู้หญิง):
      • ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือขาดประจำเดือน
    • ท้องผูก:
      • การขับถ่ายลดลง หรือขับถ่ายลำบาก

    สาเหตุที่ทำให้ระบบเผาผลาญพัง

    • การอดอาหาร: การอดอาหารหรือกินอาหารน้อยเกินไป ทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะจำศีล ชะลอการเผาผลาญพลังงาน
    • การออกกำลังกายมากเกินไป: การออกกำลังกายมากเกินไปโดยไม่พักผ่อนเพียงพอ ทำให้ร่างกายเครียดและชะลอการเผาผลาญ
    • การขาดสารอาหาร: การขาดสารอาหารบางชนิด เช่น โปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุ ส่งผลต่อการทำงานของระบบเผาผลาญ
    • ความเครียด: ความเครียดเรื้อรังทำให้ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลสูงขึ้น ส่งผลต่อการเผาผลาญพลังงาน
    • การนอนหลับไม่เพียงพอ: การนอนหลับไม่เพียงพอรบกวนการทำงานของฮอร์โมนที่ควบคุมการเผาผลาญ
    • โรคประจำตัว: โรคบางชนิด เช่น โรคไทรอยด์ ส่งผลต่อการทำงานของระบบเผาผลาญ
    • อายุ: เมื่ออายุมากขึ้น ระบบเผาผลาญจะทำงานช้าลง

    การแก้ไขปัญหาระบบเผาผลาญพัง

    • กินอาหารให้เพียงพอ: เน้นอาหารที่มีโปรตีนสูง ผัก ผลไม้ และธัญพืชไม่ขัดสี
    • ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม: ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอและเวทเทรนนิ่งควบคู่กัน
    • นอนหลับให้เพียงพอ: นอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน
    • จัดการความเครียด: ทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย เช่น โยคะ นั่งสมาธิ
    • ปรึกษาแพทย์: หากมีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม

    คำแนะนำ: หากคุณมีอาการที่เข้าข่ายระบบเผาผลาญพัง ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม

    โทษของเต้าหู้

    โทษของเต้าหู้: กินมากไปก็ไม่ดี!

    เต้าหู้เป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย อุดมไปด้วยโปรตีน แคลเซียม และสารอาหารอื่นๆ แต่การบริโภคเต้าหู้มากเกินไปก็อาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้เช่นกัน เรามาดูกันว่าโทษของเต้าหู้มีอะไรบ้าง

    1. ผลกระทบต่อฮอร์โมน

    • เต้าหู้มีสารไอโซฟลาโวน (isoflavones) ซึ่งมีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย การบริโภคเต้าหู้มากเกินไปอาจส่งผลต่อระดับฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะในผู้หญิง อาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับประจำเดือน หรือเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมในบางกรณี
    • ในผู้ชาย การบริโภคเต้าหู้มากเกินไปอาจส่งผลต่อระดับฮอร์โมนเพศชาย ลดจำนวนสเปิร์ม และทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์

    2. ปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร

    • เต้าหู้มีสารไฟเตต (phytates) ซึ่งอาจขัดขวางการดูดซึมแร่ธาตุบางชนิด เช่น เหล็กและสังกะสี การบริโภคเต้าหู้มากเกินไปอาจทำให้ร่างกายขาดแร่ธาตุเหล่านี้
    • เต้าหู้มีใยอาหารสูง การบริโภคมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือท้องเสีย

    3. ผลกระทบต่อต่อมไทรอยด์

    • เต้าหู้มีสารกอยโตรเจน (goitrogens) ซึ่งอาจขัดขวางการทำงานของต่อมไทรอยด์ การบริโภคเต้าหู้มากเกินไปอาจทำให้เกิดภาวะไทรอยด์ทำงานผิดปกติ โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์อยู่แล้ว

    4. อาการแพ้

    • บางคนอาจมีอาการแพ้เต้าหู้ ซึ่งมีอาการตั้งแต่ผื่นคัน ปากบวม ไปจนถึงหายใจลำบาก หากมีอาการแพ้ ควรหยุดบริโภคเต้าหู้ทันที

    5. ผลกระทบต่อผู้ป่วยโรคไต

    • ผู้ป่วยโรคไตควรระมัดระวังการบริโภคเต้าหู้ เนื่องจากเต้าหู้มีโพแทสเซียมสูง การบริโภคมากเกินไปอาจทำให้ระดับโพแทสเซียมในเลือดสูงเกินไป ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยโรคไต

    คำแนะนำ

    • บริโภคเต้าหู้ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากเกินไป
    • หากมีโรคประจำตัว หรือมีอาการผิดปกติหลังบริโภคเต้าหู้ ควรปรึกษาแพทย์
    • เลือกซื้อเต้าหู้จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เพื่อหลีกเลี่ยงสารปนเปื้อน

    สรุป: เต้าหู้มีประโยชน์ แต่ควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบด้านลบต่อสุขภาพ

    อาหารที่ทําให้ท้องผูก

    อาหารที่ทำให้ท้องผูก: หลีกเลี่ยงเพื่อระบบขับถ่ายที่ดี

    อาการท้องผูกเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน ซึ่งส่งผลต่อความรู้สึกไม่สบายตัวและสุขภาพโดยรวม อาหารที่เราบริโภคมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการทำงานของระบบขับถ่าย การรู้จักอาหารที่ทำให้ท้องผูกจึงเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพที่ดี

    อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อป้องกันอาการท้องผูก

    1. อาหารแปรรูปและอาหารจานด่วน:
      • อาหารเหล่านี้มักมีปริมาณไฟเบอร์ต่ำและไขมันสูง ซึ่งทำให้การเคลื่อนไหวของลำไส้ช้าลง
      • ตัวอย่าง: อาหารแช่แข็ง, ขนมขบเคี้ยว, อาหารฟาสต์ฟู้ด
    2. ผลิตภัณฑ์จากนม:
      • ในบางคน, แลคโตสในนมอาจทำให้เกิดอาการท้องอืดและท้องผูก
      • ตัวอย่าง: นมวัว, ชีส, ไอศกรีม
    3. เนื้อแดง:
      • เนื้อแดงมีไขมันสูงและย่อยยาก ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้
      • ควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะและเลือกเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน
    4. อาหารที่มีน้ำตาลสูง:
      • น้ำตาลอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแบคทีเรียในลำไส้ ซึ่งส่งผลต่อการขับถ่าย
      • ตัวอย่าง: ขนมหวาน, เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง
    5. อาหารที่มีเกลือสูง:
      • เกลือมากเกินไปอาจทำให้ร่างกายขาดน้ำ ซึ่งส่งผลให้อุจจาระแข็งและขับถ่ายยาก
      • ตัวอย่าง: อาหารแปรรูป, อาหารสำเร็จรูป
    6. อาหารที่มีไฟเบอร์ต่ำ:
      • ไฟเบอร์ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ การขาดไฟเบอร์ทำให้การขับถ่ายไม่ปกติ
      • ตัวอย่าง: ข้าวขาว, ขนมปังขาว
    7. อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง:
      • ธาตุเหล็กในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการท้องผูก
      • ตัวอย่าง: อาหารเสริมธาตุเหล็ก, ตับ, เครื่องในสัตว์

    คำแนะนำเพิ่มเติม

    • ดื่มน้ำให้เพียงพอ: การดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวันช่วยให้อุจจาระนิ่มและขับถ่ายง่ายขึ้น
    • เพิ่มการบริโภคไฟเบอร์: รับประทานผัก, ผลไม้, และธัญพืชไม่ขัดสีเพื่อเพิ่มปริมาณไฟเบอร์ในอาหาร
    • ออกกำลังกายเป็นประจำ: การเคลื่อนไหวร่างกายช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้
    • ปรึกษาแพทย์: หากมีอาการท้องผูกเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม

    การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคและดำเนินชีวิตสามารถช่วยป้องกันและบรรเทาอาการท้องผูกได้ การดูแลสุขภาพระบบขับถ่ายเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพโดยรวม

    วิธีปิดผมหงอก

    วิธีปิดผมหงอก: คืนความมั่นใจให้ผมสวยสุขภาพดี

    ผมหงอกเป็นสัญญาณแห่งวัยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องยอมรับมันเสมอไป ปัจจุบันมีหลากหลายวิธีในการปิดผมหงอก ตั้งแต่การใช้ผลิตภัณฑ์เคมีไปจนถึงวิธีธรรมชาติ ลองมาดูกันว่าวิธีปิดผมหงอกไหนเหมาะกับคุณ

    วิธีปิดผมหงอก เลือกให้เหมาะกับคุณ

    1. การย้อมผม

    • ยาย้อมผมแบบถาวร:
      • เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ให้สีผมที่ติดทนนาน ปกปิดผมหงอกได้สนิท
      • เหมาะสำหรับผู้ที่มีผมหงอกจำนวนมาก
      • ข้อควรระวัง: อาจทำให้ผมแห้งเสียได้หากใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีคุณภาพ
    • ยาย้อมผมแบบกึ่งถาวร:
      • ให้สีผมที่ติดทนนานน้อยกว่าแบบถาวร แต่ยังคงปกปิดผมหงอกได้ดี
      • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนสีผมบ่อยๆ หรือมีผมหงอกไม่มาก
      • ข้อดี: อ่อนโยนต่อเส้นผมมากกว่าแบบถาวร
    • ยาย้อมผมแบบชั่วคราว:
      • ให้สีผมที่ติดทนเพียง 1-2 ครั้งของการสระผม
      • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทดลองสีผมใหม่ๆ หรือปกปิดผมหงอกเฉพาะโอกาสพิเศษ
      • ข้อดี: ใช้ง่ายและไม่ทำลายเส้นผม

    2. ผลิตภัณฑ์ปิดผมหงอกเฉพาะจุด

    • มาสคาร่าปิดผมหงอก:
      • ใช้ปัดปกปิดผมหงอกเฉพาะบริเวณโคนผมหรือไรผม
      • เหมาะสำหรับผู้ที่มีผมหงอกไม่มาก หรือต้องการปกปิดเฉพาะจุด
      • ข้อดี: ใช้งานง่ายและรวดเร็ว
    • สเปรย์ปิดผมหงอก:
      • ใช้ฉีดปกปิดผมหงอกเฉพาะบริเวณโคนผมหรือไรผม
      • เหมาะสำหรับผู้ที่มีผมหงอกไม่มาก หรือต้องการปกปิดเฉพาะจุด
      • ข้อดี: ใช้งานง่ายและรวดเร็ว

    3. วิธีธรรมชาติ

    • เฮนน่า:
      • เป็นสีย้อมผมจากธรรมชาติที่ให้สีผมโทนน้ำตาลแดง
      • ช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรงและเงางาม
      • ข้อควรระวัง: สีอาจไม่ติดทนนานเท่าสีย้อมผมเคมี
    • น้ำมันมะพร้าว:
      • ช่วยบำรุงเส้นผมและหนังศีรษะให้แข็งแรง ลดการเกิดผมหงอกก่อนวัย
      • วิธีใช้: นวดน้ำมันมะพร้าวลงบนหนังศีรษะและเส้นผมเป็นประจำ
    • ชาดำ:
      • ชาดำสามารถนำมาใช้ปิดผมหงอกได้โดยการนำชาดำเข้มข้นมาหมักผมทิ้งไว้สักพักแล้วล้างออก

    คำแนะนำเพิ่มเติม

    • เลือกผลิตภัณฑ์ปิดผมหงอกที่เหมาะกับสภาพเส้นผมและหนังศีรษะของคุณ
    • ทดสอบอาการแพ้ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
    • ดูแลเส้นผมให้แข็งแรงด้วยการบำรุงและหลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนสูง
    • หากมีปัญหาผมหงอกก่อนวัย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม

    การปิดผมหงอกเป็นเรื่องส่วนบุคคล เลือกวิธีที่เหมาะกับคุณและทำให้คุณมั่นใจที่สุด

    เครื่องดื่มบูสผิว

    เครื่องดื่มบูสผิว: เคล็ดลับผิวสวยจากภายในสู่ภายนอก

    ในยุคที่ความสวยงามเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสำคัญ การดูแลผิวพรรณจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม นอกจากการบำรุงผิวด้วยผลิตภัณฑ์ภายนอกแล้ว การเติมเต็มสารอาหารจากภายในด้วยเครื่องดื่มบูสผิวก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ

    เครื่องดื่มบูสผิวคืออะไร?

    เครื่องดื่มบูสผิวคือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของสารอาหารที่ช่วยบำรุงผิวพรรณจากภายในสู่ภายนอก เช่น วิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ และคอลลาเจน ซึ่งสารอาหารเหล่านี้จะช่วยฟื้นฟูและบำรุงผิวให้แข็งแรง ชุ่มชื้น และเปล่งปลั่ง

    เครื่องดื่มบูสผิวมีประโยชน์อย่างไร?

    • เพิ่มความชุ่มชื้น: ช่วยให้ผิวอิ่มน้ำ ลดปัญหาผิวแห้งกร้าน
    • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน: ช่วยให้ผิวยืดหยุ่น ลดเลือนริ้วรอย
    • ต้านอนุมูลอิสระ: ปกป้องผิวจากมลภาวะและแสงแดด ลดปัญหาผิวหมองคล้ำ
    • ลดการอักเสบ: ช่วยลดปัญหาสิวและรอยแดง
    • เสริมสร้างความแข็งแรงของผิว: ช่วยให้ผิวแข็งแรง ไม่แพ้ง่าย

    เครื่องดื่มบูสผิวที่น่าสนใจ

    • น้ำผลไม้สด: น้ำผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซี เช่น น้ำส้ม น้ำฝรั่ง น้ำมะนาว ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและต้านอนุมูลอิสระ
    • น้ำผักใบเขียว: น้ำผักใบเขียวที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ ช่วยบำรุงผิวให้แข็งแรงและลดการอักเสบ
    • ชาเขียว: ชาเขียวมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะและแสงแดด
    • น้ำมะพร้าว: น้ำมะพร้าวช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวและมีแร่ธาตุที่ช่วยบำรุงผิว
    • เครื่องดื่มที่มีคอลลาเจน: เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน ช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นให้ผิว ลดเลือนริ้วรอย

    เคล็ดลับเพิ่มเติม

    • ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ: การดื่มน้ำเปล่าเป็นพื้นฐานของการดูแลผิวที่ดี
    • ทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นผักผลไม้ ธัญพืช และโปรตีน
    • พักผ่อนให้เพียงพอ: การนอนหลับอย่างเพียงพอช่วยให้ผิวได้พักผ่อนและฟื้นฟู
    • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ทำให้ผิวเปล่งปลั่ง

    ข้อควรระวัง

    • เลือกเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลน้อย: การดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพและผิวพรรณ
    • ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ: หากมีโรคประจำตัวหรือข้อสงสัย ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนดื่มเครื่องดื่มบูสผิว

    การดูแลผิวพรรณเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ การดื่มเครื่องดื่มบูสผิวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการดูแลตัวเอง ควรดูแลตัวเองในด้านอื่นๆ ด้วย เพื่อให้มีผิวสวยสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก

    อาหารลดสิว

    อาหารลดสิว: เคล็ดลับผิวสวยใสจากภายในสู่ภายนอก

    สิวเป็นปัญหาผิวที่กวนใจใครหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ การดูแลผิวให้สวยใสไร้สิวจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนให้ความสำคัญ นอกจากการดูแลผิวภายนอกแล้ว การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมก็มีส่วนสำคัญในการลดสิวได้เช่นกัน วันนี้เราจะมาเปิดเผยเคล็ดลับอาหารลดสิว ที่จะช่วยให้คุณมีผิวสวยใสจากภายในสู่ภายนอก

    ทำไมอาหารถึงมีผลต่อสิว?

    อาหารที่เราทานเข้าไปมีผลต่อการทำงานของร่างกาย รวมถึงผิวพรรณของเราด้วย อาหารบางชนิดอาจกระตุ้นการสร้างน้ำมันบนใบหน้า ทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดสิวได้ ในขณะที่อาหารบางชนิดมีสารอาหารที่ช่วยลดการอักเสบและบำรุงผิว ทำให้สิวลดลงและผิวแข็งแรงขึ้น

    อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงหากเป็นสิว

    • อาหารที่มีน้ำตาลสูง: เช่น ขนมหวาน น้ำอัดลม อาหารแปรรูป อาหารเหล่านี้จะกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ซึ่งส่งผลให้เกิดการอักเสบและสิว
    • อาหารที่มีไขมันสูง: เช่น อาหารทอด อาหารมัน อาหารเหล่านี้จะเพิ่มการผลิตน้ำมันบนใบหน้า ทำให้เกิดสิวง่ายขึ้น
    • ผลิตภัณฑ์จากนม: บางคนอาจมีอาการแพ้แลคโตสในนม ทำให้เกิดสิวได้
    • อาหารแปรรูป: เช่น ไส้กรอก แฮม อาหารเหล่านี้มักมีโซเดียมสูงและมีสารอาหารน้อย
    • อาหารที่แพ้: หากคุณมีอาการแพ้อาหารชนิดใด ควรหลีกเลี่ยงอาหารชนิดนั้น

    อาหารที่ช่วยลดสิว

    • ผักและผลไม้: ผักและผลไม้อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยบำรุงผิวและลดการอักเสบ ควรเลือกผักและผลไม้ที่มีสีสันสดใส เช่น แครอท ฟักทอง มะเขือเทศ บรอกโคลี ผักโขม ส้ม ฝรั่ง
    • ธัญพืชไม่ขัดสี: เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ควินัว ธัญพืชเหล่านี้มีไฟเบอร์สูง ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดการอักเสบ
    • ปลาที่มีไขมันดี: เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาแมคเคอเรล ปลามีไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งช่วยลดการอักเสบและบำรุงผิว
    • ถั่วและเมล็ดพืช: เช่น อัลมอนด์ วอลนัท เมล็ดเจีย เมล็ดแฟลกซ์ ถั่วและเมล็ดพืชเหล่านี้มีวิตามินอีและสังกะสี ซึ่งช่วยบำรุงผิวและลดการอักเสบ
    • โยเกิร์ตและนมเปรี้ยว: โยเกิร์ตและนมเปรี้ยวมีโปรไบโอติก ซึ่งช่วยเสริมสร้างจุลินทรีย์ดีในลำไส้ ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น

    เคล็ดลับเพิ่มเติม

    • ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและขับของเสียออกจากร่างกาย
    • พักผ่อนให้เพียงพอ: ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเองและลดความเครียด
    • จัดการความเครียด: ความเครียดเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดสิวได้
    • ปรึกษาแพทย์ผิวหนัง: หากมีปัญหาสิวเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม

    สรุป

    การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมเป็นส่วนสำคัญในการดูแลผิวให้สวยใสไร้สิว ควรเน้นอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและหลีกเลี่ยงอาหารที่อาจกระตุ้นให้เกิดสิว นอกจากนี้ การดูแลสุขภาพโดยรวมให้ดี ก็จะช่วยให้ผิวของคุณสวยขึ้นจากภายในสู่ภายนอก


    เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

    ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

    คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

    ยอมรับทั้งหมด
    จัดการความเป็นส่วนตัว
    • เปิดใช้งานตลอด

    บันทึกการตั้งค่า