ข่าวสารวันนี้

ส่องข่าวสาร แวดวงการเมือง อัปเดตรายวัน

    Tag Archive : สุขภาพ

    ผลไม้บำรุงสายตา

    ผลไม้บำรุงสายตา: ส่องแสงให้ดวงตาของคุณ

    สายตาเป็นของขวัญล้ำค่าที่เราทุกคนควรดูแลเป็นอย่างดี ในยุคที่ต้องใช้สายตามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ มองโทรศัพท์มือถือ หรือการขับรถ การบำรุงสายตาให้แข็งแรงจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หนึ่งในวิธีที่ง่ายและได้ผลดีในการบำรุงสายตาคือการรับประทานผลไม้บำรุงสายตา

    ทำไมผลไม้ถึงบำรุงสายตาได้?

    ผลไม้หลายชนิดอุดมไปด้วยวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็นต่อสุขภาพของดวงตา เช่น วิตามินเอ เบต้าแคโรทีน ลูทีน และซีแซนทีน สารอาหารเหล่านี้ช่วยป้องกันการเสื่อมของจอประสาทตา ลดความเสี่ยงของโรคตาต่างๆ เช่น ต้อกระจก และต้อหิน ช่วยให้สายตาคมชัด และยังช่วยลดอาการเมื่อยล้าของดวงตาจากการใช้สายตาเป็นเวลานานอีกด้วย

    ผลไม้บำรุงสายตาที่คุณไม่ควรพลาด

    • แครอท: เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของวิตามินเอ ซึ่งช่วยบำรุงสายตาในที่มืดและป้องกันโรคตาบอดกลางคืน
    • มะละกอ: อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน ที่ร่างกายเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ช่วยปกป้องจอประสาทตาจากความเสียหาย
    • มะม่วง: มีวิตามินเอสูง ช่วยให้สายตาแข็งแรงและมีสุขภาพดี
    • มะเขือเทศ: อุดมไปด้วยไลโคปีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการเสื่อมของจอประสาทตา
    • ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่: เช่น บลูเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคตาเสื่อม
    • กล้วย: มีโพแทสเซียมสูง ช่วยลดความเสี่ยงของโรคต้อกระจก
    • ส้ม: อุดมไปด้วยวิตามินซี ช่วยป้องกันการอักเสบของดวงตา

    วิธีรับประทานผลไม้เพื่อบำรุงสายตา

    • รับประทานผลไม้ให้หลากหลาย: เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วน
    • รับประทานผลไม้สด: จะได้วิตามินและสารอาหารครบถ้วนที่สุด
    • รับประทานผลไม้เป็นประจำ: ควรทานผลไม้ทุกวัน เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างต่อเนื่อง

    เคล็ดลับเพิ่มเติม:

    • พักสายตาเป็นระยะ: หากต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ควรพักสายตาเป็นระยะๆ ทุกๆ 20 นาที โดยมองไปยังวัตถุที่อยู่ไกลๆ
    • ออกกำลังกาย: การออกกำลังกายช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงดวงตา
    • นอนหลับให้เพียงพอ: การพักผ่อนอย่างเพียงพอช่วยให้ดวงตาได้พักผ่อนและฟื้นฟู
    • ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ: การตรวจสุขภาพตาเป็นประจำจะช่วยให้คุณทราบถึงสุขภาพดวงตาของคุณและสามารถรักษาได้อย่างทันท่วงที

    การดูแลสายตาเป็นสิ่งสำคัญมาก การรับประทานผลไม้บำรุงสายตาควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพตาอย่างถูกวิธี จะช่วยให้คุณมีสายตาที่แข็งแรงและมองเห็นโลกได้อย่างชัดเจนตลอดไป

    น้ำตาเทียม

    น้ำตาเทียม ดีไหม? ไขข้อสงสัยเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์บำรุงดวงตาที่คุณควรรู้

    ปัญหาตาแห้ง เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ใช้สายตามากเกินไป เช่น ผู้ที่ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ หรือผู้สูงอายุ อาการตาแห้งนอกจากจะทำให้รู้สึกไม่สบายตา ยังอาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นในระยะยาวได้อีกด้วย

    น้ำตาเทียม จึงกลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ประสบปัญหาตาแห้ง เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตา ช่วยบรรเทาอาการระคายเคือง แสบตา และคันตาได้เป็นอย่างดี แต่หลายคนก็ยังคงสงสัยว่า น้ำตาเทียมดีจริงหรือ? มีประโยชน์อย่างไร? และควรเลือกใช้น้ำตาเทียมแบบไหนดี?

    น้ำตาเทียม คืออะไร?

    น้ำตาเทียมเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อเลียนแบบน้ำตาธรรมชาติ มีส่วนประกอบหลักคือน้ำและสารหล่อลื่น เช่น โพลีเอทิลีนไกลคอล (Polyethylene Glycol) หรือไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) ซึ่งช่วยเคลือบผิวตาและรักษาความชุ่มชื้น

    ประโยชน์ของน้ำตาเทียม

    • ช่วยบรรเทาอาการตาแห้ง: เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตา ช่วยลดอาการระคายเคือง แสบตา คันตา และทำให้รู้สึกสบายตาขึ้น
    • ป้องกันการระคายเคือง: สร้างชั้นป้องกันบนผิวตา ช่วยลดการเสียดสีระหว่างเปลือกตาและดวงตา
    • ช่วยให้การใส่คอนแทคเลนส์สบายขึ้น: ลดอาการระคายเคืองที่เกิดจากการใส่คอนแทคเลนส์
    • ช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้กับดวงตาหลังการผ่าตัด: เช่น หลังการผ่าตัดต้อกระจก

    น้ำตาเทียม เหมาะสำหรับใคร?

    • ผู้ที่มีอาการตาแห้งเรื้อรัง
    • ผู้ที่ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
    • ผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์
    • ผู้สูงอายุ
    • ผู้ที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แห้งและมีลมแรง
    • ผู้ที่เพิ่งผ่านการผ่าตัดตา

    วิธีเลือกน้ำตาเทียม

    น้ำตาเทียมมีหลายชนิดและหลายยี่ห้อให้เลือก โดยมีส่วนประกอบและความเข้มข้นของสารหล่อลื่นที่แตกต่างกัน การเลือกน้ำตาเทียมที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสภาพของดวงตาและความต้องการของแต่ละบุคคล ควรปรึกษาเภสัชกรหรือจักษุแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ

    ปัจจัยที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกน้ำตาเทียม:

    • ความเข้มข้นของสารหล่อลื่น: เลือกความเข้มข้นที่เหมาะสมกับระดับความแห้งของดวงตา
    • ชนิดของสารกันเสีย: บางคนอาจแพ้สารกันเสียในน้ำตาเทียม ควรเลือกชนิดที่ไม่มีสารกันเสียหรือมีสารกันเสียชนิดที่ไม่ระคายเคือง
    • ความถี่ในการใช้: เลือกชนิดที่เหมาะกับการใช้ในชีวิตประจำวันหรือสำหรับใช้ในกรณีฉุกเฉิน
    • ราคา: น้ำตาเทียมมีราคาแตกต่างกันไป ควรเลือกชนิดที่เหมาะสมกับงบประมาณ

    ข้อควรระวังในการใช้น้ำตาเทียม

    • อ่านฉลากอย่างละเอียด: ก่อนใช้ควรอ่านฉลากเพื่อดูส่วนประกอบและวิธีใช้ให้ถูกต้อง
    • หลีกเลี่ยงการสัมผัสปลายขวดกับดวงตา: เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรค
    • หยุดใช้และปรึกษาแพทย์: หากมีอาการแพ้หรืออาการไม่พึงประสงค์อื่นๆ เกิดขึ้น

    สรุป

    น้ำตาเทียมเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยบรรเทาอาการตาแห้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสภาพของดวงตาและปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม ควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้อง

    อาหารแก้กรดไหลย้อน

    อาหารแก้กรดไหลย้อน: บรรเทาอาการแสบร้อนด้วยอาหารเหล่านี้

    กรดไหลย้อน เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน สาเหตุหลักมาจากการที่กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหาร ทำให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอก เรอบ่อยๆ และมีรสเปรี้ยวในปาก การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาที่สำคัญ ซึ่งรวมถึงการเลือกทานอาหารที่เหมาะสม

    อาหารแก้กรดไหลย้อน

    • ผักใบเขียว: ผักใบเขียว เช่น ผักคะน้า ผักโขม และกะหล่ำปลี มีใยอาหารสูง ช่วยในการย่อยอาหารและลดอาการท้องอืด ซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดกรดไหลย้อน
    • ผลไม้: เลือกทานผลไม้ที่มีความเป็นกรดต่ำ เช่น กล้วย แอปเปิล (ปอกเปลือก) แตงโม และมะละกอสุก
    • ธัญพืช: ธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต และข้าวบาร์เลย์ มีใยอาหารสูง ช่วยในการย่อยอาหารและลดอาการท้องอืด
    • โปรตีน: เลือกทานโปรตีนที่ย่อยง่าย เช่น ไก่ไม่ติดหนัง ปลา เนื้อวัวไม่ติดมัน และไข่ขาว
    • นม: นมไขมันต่ำหรือนมพร่องมันเนย ช่วยเคลือบหลอดอาหารและลดอาการแสบร้อน
    • น้ำเปล่า: การดื่มน้ำเปล่าในปริมาณที่เพียงพอช่วยในการย่อยอาหารและลดอาการท้องผูก

    อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

    • อาหารรสจัด: อาหารรสจัด เช่น พริก กระเทียม และเครื่องเทศต่างๆ จะกระตุ้นให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
    • อาหารทอดและมันเจียว: อาหารทอดและมันเจียวมีไขมันสูง ย่อยยาก และทำให้เกิดอาการท้องอืด
    • อาหารรสเปรี้ยว: ผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว และสับปะรด จะกระตุ้นให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
    • กาแฟ ชา และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน: คาเฟอีนจะกระตุ้นให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
    • แอลกอฮอล์: แอลกอฮอล์จะระคายเคืองเยื่อบุหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร

    เคล็ดลับเพิ่มเติม

    • ทานอาหารมื้อเล็กๆ หลายมื้อ: การทานอาหารมื้อเล็กๆ หลายมื้อจะช่วยลดภาระในการทำงานของกระเพาะอาหาร
    • เคี้ยวอาหารให้ละเอียด: การเคี้ยวอาหารให้ละเอียดจะช่วยในการย่อยอาหารและลดอาการท้องอืด
    • เลิกสูบบุหรี่: บุหรี่จะทำให้กล้ามเนื้อหูรูดบริเวณหลอดอาหารอ่อนแรงลง ทำให้กรดไหลย้อนได้ง่ายขึ้น
    • หลีกเลี่ยงการนอนราบหลังทานอาหารทันที: ควรเว้นระยะห่างประมาณ 2-3 ชั่วโมง
    • ยกหัวเตียงให้สูงขึ้น: การยกหัวเตียงให้สูงขึ้นประมาณ 15-20 เซนติเมตร จะช่วยลดแรงดันในกระเพาะอาหาร

    ข้อควรระวัง: หากอาการกรดไหลย้อนไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม

    บทสรุป

    การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินเป็นสิ่งสำคัญในการบรรเทาอาการกรดไหลย้อน การเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ อาหารแก้กรดไหลย้อน ที่เราแนะนำไปข้างต้น และหลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นให้เกิดอาการ รวมถึงการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต จะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดีขึ้น

    เปิดกรุสมุนไพรล้านนา “มะแขว่น” ที่ซ่อนพลังบำรุงผิว

    เปิดกรุสมุนไพรล้านนา “มะแขว่น” ที่ซ่อนพลังบำรุงผิว

    มะแขว่น” หรือ “ฮก” เป็นสมุนไพรที่โดดเด่นในวัฒนธรรมล้านนา ถือเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตชาวเหนือซึ่งนิยมนำมาใช้ในอาหารและยาสมุนไพรมายาวนาน ด้วยรสเผ็ดร้อนและกลิ่นหอมเฉพาะตัว ทำให้ “มะแขว่น” เป็นที่นิยมอย่างมากในการปรุงอาหารพื้นบ้าน เช่น ลาบ แกงโฮะ และแกงฮังเล นอกจากนี้ ยังถูกนำมาใช้ในศาสตร์ความงามของพระสนมล้านนา หรือ “แม่หยัว” ที่ต้องการมีผิวพรรณเปล่งปลั่งและสดใส

    ตำนานและความสำคัญของ “มะแขว่น” ในล้านนา “มะแขว่น” มีการบันทึกในประวัติศาสตร์ล้านนามาหลายร้อยปี ในฐานะสมุนไพรที่ช่วยรักษาโรคและบำรุงสุขภาพ บรรเทาอาการท้องอืด ปวดข้อ และเสริมสมรรถภาพการย่อยอาหาร ทำให้เป็นที่รักและยอมรับในวัฒนธรรมล้านนา นอกจากการใช้งานทางการแพทย์แล้ว “มะแขว่น” ยังแฝงด้วยคุณค่าทางจิตวิญญาณ ชาวล้านนาเชื่อว่าการนำสมุนไพรชนิดนี้มาใช้สามารถช่วยปรับสมดุลร่างกายได้อย่างดี

    “มะแขว่น” กับความงามของพระสนมล้านนา นอกจากบทบาทในครัวแล้ว “มะแขว่น” ยังถูกใช้ในการดูแลผิวพรรณของพระสนมในวังล้านนา โดย “มะแขว่น” มีสารที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตในผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่ง สวยงาม นอกจากนี้ยังช่วยลดความเครียด ช่วยปรับสมดุลภายใน ทำให้ผิวพรรณสดใสและดูอ่อนเยาว์ และกลายเป็นที่รู้จักในฐานะ “อาวุธลับ” ของเหล่าพระสนม

    วิธีการใช้ “มะแขว่น” เพื่อความงาม

    • การใช้ “มะแขว่น” ต้มกับน้ำใช้เป็นสเปรย์ฉีดผิว ช่วยบำรุงผิวให้ดูสดใส
    • ใช้เป็นส่วนผสมในสครับผิว ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทำให้ผิวเนียนนุ่ม
    • ใช้ “มะแขว่น” เป็นส่วนประกอบในน้ำมันหอมระเหย ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ลดการปวดเมื่อย

    สรุป “มะแขว่น” ไม่เพียงแต่เป็นสมุนไพรที่มีคุณค่าทางด้านสุขภาพและอาหาร แต่ยังเป็นตัวแทนของภูมิปัญญาท้องถิ่นล้านนา ซึ่งสืบทอดมาอย่างยาวนาน การนำ “มะแขว่น” มาใช้ในการดูแลผิวพรรณและบำรุงสุขภาพ ทำให้คนรุ่นใหม่เห็นถึงความสำคัญของสมุนไพรไทยที่มีคุณค่าสูงและยังประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย

    ดื่มกาแฟ ดีไหม

    ดื่มกาแฟ ดีไหม? รู้จักประโยชน์และโทษของกาแฟให้มากขึ้น

    กาแฟ เครื่องดื่มยอดนิยมที่หลายคนขาดไม่ได้ในตอนเช้า หรือแม้แต่ตลอดทั้งวัน แต่หลายคนก็ยังสงสัยว่าการดื่มกาแฟดีไหม ดื่มกาแฟบ่อย ๆ นั้นดีต่อสุขภาพหรือไม่? วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับประโยชน์และโทษของกาแฟกัน

    ประโยชน์ของกาแฟ

    • เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า: คาเฟอีนในกาแฟช่วยกระตุ้นระบบประสาท ทำให้รู้สึกตื่นตัวและมีสมาธิมากขึ้น
    • ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน: การดื่มกาแฟก่อนทำงานหรือเรียน จะช่วยให้รู้สึกกระฉับกระเฉงและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    • ลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ: การศึกษาหลายชิ้นพบว่าการดื่มกาแฟในปริมาณที่พอเหมาะ อาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ เช่น โรคพาร์กินสัน โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคตับแข็ง
    • เป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ: กาแฟอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากความเสียหาย
    • ช่วยลดความเสี่ยงของโรคซึมเศร้า: การศึกษาบางชิ้นพบว่าการดื่มกาแฟอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคซึมเศร้าได้

    โทษของกาแฟ

    • ทำให้หลับยาก: คาเฟอีนในกาแฟจะไปรบกวนการนอนหลับ ทำให้หลับยากและหลับไม่สนิท หากดื่มกาแฟในปริมาณมากหรือใกล้เวลานอน
    • เพิ่มความวิตกกังวล: คาเฟอีนอาจทำให้เกิดอาการใจสั่น วิตกกังวล และกระสับกระส่ายได้
    • เพิ่มความดันโลหิต: การดื่มกาแฟอาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีความดันโลหิตสูงอยู่แล้ว
    • ทำให้กระดูกพรุน: การดื่มกาแฟมากเกินไปอาจทำให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อสุขภาพของกระดูก
    • ทำให้ท้องเสีย: คาเฟอีนอาจกระตุ้นให้ลำไส้ทำงานมากขึ้น ทำให้เกิดอาการท้องเสียได้

    ดื่มกาแฟอย่างไรให้ปลอดภัย

    • ดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ: ไม่ควรดื่มกาแฟเกิน 400 มิลลิกรัมต่อวัน หรือประมาณ 3-4 แก้ว
    • เลือกดื่มกาแฟดำ: กาแฟดำมีคาเฟอีนน้อยกว่ากาแฟที่มีส่วนผสมของนมและน้ำตาล
    • หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟก่อนนอน: ควรหยุดดื่มกาแฟอย่างน้อย 6 ชั่วโมงก่อนนอน
    • เลือกดื่มกาแฟคุณภาพดี: กาแฟคุณภาพดีจะมีรสชาติอร่อย และมีคาเฟอีนในปริมาณที่เหมาะสม

    สรุปแล้ว การดื่มกาแฟนั้นมีทั้งประโยชน์และโทษ ขึ้นอยู่กับปริมาณและสุขภาพของแต่ละบุคคล การดื่มกาแฟในปริมาณที่พอเหมาะและเลือกดื่มกาแฟคุณภาพดี จะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์จากกาแฟได้อย่างเต็มที่

    หากคุณมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะดื่มกาแฟ

    Overnight Oats คือ

    Overnight Oats อาหารเช้าสุขภาพง่าย ๆ

    Overnight Oats คืออะไร?

    Overnight Oats หรือ ข้าวโอ๊ตค้างคืน เป็นเมนูอาหารเช้าสุดฮิตที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นเมนูที่ทำง่าย อร่อย และมีประโยชน์ต่อสุขภาพสูง

    วิธีทำ Overnight Oats

    1. เตรียมส่วนผสม: ข้าวโอ๊ต นม (หรือเครื่องดื่มทางเลือกอื่น ๆ เช่น นมอัลมอนด์ นมถั่วเหลือง) โยเกิร์ต ผลไม้สดหรือแห้ง ถั่ว ธัญพืช และน้ำผึ้งหรือไซรัป
    2. ผสมส่วนผสม: ผสมข้าวโอ๊ตกับนมหรือเครื่องดื่มทางเลือกอื่น ๆ ในภาชนะที่ปิดสนิท
    3. แช่เย็น: แช่ในตู้เย็นข้ามคืน
    4. ตกแต่งและเสิร์ฟ: ในตอนเช้า นำออกมาตกแต่งด้วยผลไม้สด ถั่ว ธัญพืช และน้ำผึ้งหรือไซรัปตามชอบ

    ประโยชน์ของ Overnight Oats

    • อิ่มนาน: ข้าวโอ๊ตเป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ช่วยให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น
    • ไฟเบอร์สูง: ช่วยในการย่อยอาหารและสุขภาพลำไส้
    • โปรตีนสูง: ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
    • วิตามินและแร่ธาตุ: ผลไม้และธัญพืชที่เติมลงไปช่วยเพิ่มวิตามินและแร่ธาตุ
    • สะดวกและรวดเร็ว: สามารถเตรียมล่วงหน้าได้ ทำให้สะดวกในการรับประทานในตอนเช้า

    เคล็ดลับในการทำ Overnight Oats

    • เลือกข้าวโอ๊ต: เลือกข้าวโอ๊ตร่วนหรือข้าวโอ๊ตโรลด์
    • เลือกนมหรือเครื่องดื่มทางเลือก: เลือกชนิดที่ไม่หวานมากเกินไป
    • เพิ่มรสชาติ: เพิ่มรสชาติด้วยผลไม้สดหรือแห้ง ถั่ว ธัญพืช น้ำผึ้งหรือไซรัป
    • ปรับแต่งสูตร: ปรับสูตรให้เหมาะกับความชอบส่วนตัว
    • เก็บรักษา: เก็บรักษาในตู้เย็นไม่เกิน 2-3 วัน

    Overnight Oats เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับอาหารเช้าสุขภาพ สามารถปรับแต่งสูตรได้ตามความชอบและความต้องการทางโภชนาการ

    อาหารไขมันดี

    อาหารไขมันดี…มิตรแท้สุขภาพที่คุณควรรู้จัก

    ไขมันดี คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ?

    หลายคนมักเข้าใจผิดว่า ไขมันทั้งหมดเป็นตัวร้ายที่ก่อให้เกิดโรค แต่ความจริงแล้ว ไขมันก็มีทั้งดีและไม่ดี ไขมันดี (หรือ HDL cholesterol) มีบทบาทสำคัญในการช่วยขนส่งคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีออกจากหลอดเลือดไปทำลายที่ตับ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

    ไขมันดีมีประโยชน์อย่างไรบ้าง?

    • ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ: ไขมันดีช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีในเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรคหัวใจ
    • ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: ไขมันดีช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2
    • ช่วยบำรุงสมอง: ไขมันดีเป็นส่วนประกอบสำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ประสาท ช่วยบำรุงสมองและระบบประสาท
    • ช่วยดูดซึมวิตามิน: ไขมันดีช่วยในการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน เช่น วิตามิน A, D, E และ K

    อาหารที่มีไขมันดีสูง

    • ปลา: ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาแมคเคอเรล เป็นแหล่งของกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นไขมันดีชนิดหนึ่ง
    • ถั่ว: อัลมอนด์ วอลนัท เม็ดมะม่วงหิมพานต์ มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและเชิงซ้อนสูง
    • เมล็ดพืช: เมล็ดเจีย เมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดเชีย มีโอเมก้า 3 และไฟเบอร์สูง
    • อะโวคาโด: ผลไม้ที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูง ช่วยลดคอเลสเตอรอล
    • น้ำมันมะกอก: น้ำมันสำหรับปรุงอาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูง

    วิธีเพิ่มไขมันดีในอาหาร

    • ปรุงอาหารด้วยน้ำมันมะกอก: แทนที่การใช้น้ำมันปาล์มหรือน้ำมันทอดซ้ำ
    • เพิ่มปลาในเมนูอาหาร: กินปลาอย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์
    • ทานถั่วและเมล็ดพืชเป็นของว่าง: แทนที่ขนมขบเคี้ยว
    • ใส่อะโวคาโดในสลัด: หรือใช้แทนเนยในแซนวิช
    • ดื่มนมพร่องมันเนย: หรือโยเกิร์ต
    • ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ: เพื่อวางแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับสุขภาพของคุณ

    สรุป

    ไขมันดีเป็นส่วนประกอบสำคัญของร่างกาย การรับประทานอาหารที่มีไขมันดีอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ได้ อย่างไรก็ตาม ควรบริโภคอาหารไขมันดีในปริมาณที่เหมาะสม และหลีกเลี่ยงไขมันทรานส์ ซึ่งเป็นไขมันชนิดไม่ดีที่พบได้ในอาหารแปรรูป

    นอนก่อน 4 ทุ่ม ดีอย่างไร

    นอนก่อน 4 ทุ่ม ดีอย่างไร: เปิดเผยเคล็ดลับสุขภาพที่ดีกว่าที่เคย

    เคยสงสัยไหมว่าทำไมการเข้านอนก่อน 4 ทุ่มถึงเป็นที่นิยมพูดถึงในหมู่คนที่ใส่ใจสุขภาพ?

    นอนก่อน 4 ทุ่ม ดีอย่างไร ? การนอนหลับเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจของเราอย่างมาก การได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอจะช่วยให้ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สมองได้พักผ่อน และระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่รู้หรือไม่ว่าการนอนหลับก่อน 4 ทุ่มนั้นมีประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด

    ทำไมต้องนอนก่อน 4 ทุ่ม?

    • จังหวะนาฬิกาชีวิต: ร่างกายของเรามีนาฬิกาชีวิตภายในที่ควบคุมวงจรการนอนหลับและตื่น โดยปกติแล้ว ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้ง่วงนอนในช่วงเวลากลางคืน และลดการหลั่งในช่วงเวลากลางวัน การนอนหลับก่อน 4 ทุ่มจะช่วยให้ร่างกายได้ผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินในปริมาณที่เหมาะสม และช่วยให้คุณหลับได้ลึกและยาวนานขึ้น
    • การซ่อมแซมเซลล์: ในช่วงที่เรานอนหลับ ร่างกายจะทำการซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอและสร้างเซลล์ใหม่ การนอนหลับก่อน 4 ทุ่มจะทำให้ร่างกายมีเวลาในการซ่อมแซมเซลล์ได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้ผิวพรรณดูสดใสและสุขภาพดี
    • เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน: การนอนหลับพักผ่อนเพียงพอจะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ
    • ปรับปรุงอารมณ์: การนอนหลับไม่เพียงแต่ส่งผลต่อสุขภาพกาย แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพจิตด้วย การนอนหลับพักผ่อนเพียงพอจะช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล ทำให้อารมณ์ดีขึ้น และมีสมาธิในการทำงานมากขึ้น
    • ควบคุมน้ำหนัก: การนอนหลับไม่เพียงพอจะทำให้ระดับฮอร์โมนที่ควบคุมความหิวและความอิ่มเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้รู้สึกหิวบ่อยและอยากกินอาหารที่มีน้ำตาลสูง ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มน้ำหนักได้ การนอนหลับให้เพียงพอจะช่วยควบคุมระดับฮอร์โมนเหล่านี้และช่วยให้คุณควบคุมน้ำหนักได้ดีขึ้น

    ประโยชน์อื่นๆ ของการนอนก่อน 4 ทุ่ม

    • เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน: การนอนหลับพักผ่อนเพียงพอจะช่วยให้คุณมีสมาธิในการทำงานมากขึ้น ตัดสินใจได้ดีขึ้น และมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น
    • ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง: การนอนหลับไม่เพียงพอมีความเชื่อมโยงกับโรคเรื้อรังหลายชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง การนอนหลับให้เพียงพอจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเหล่านี้
    • ชะลอวัย: การนอนหลับพักผ่อนเพียงพอจะช่วยให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์และชะลอการเกิดริ้วรอย

    สรุป

    การนอนหลับก่อน 4 ทุ่มเป็นการลงทุนที่ดีที่สุดสำหรับสุขภาพของคุณ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอนหลับให้เป็นไปตามธรรมชาติจะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ หากคุณมีปัญหาในการนอนหลับ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและวิธีการแก้ไข

    เคล็ดลับการนอนหลับให้หลับสนิท

    • สร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการนอนหลับ: ทำให้ห้องนอนมืด สงบ และเย็นสบาย
    • หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ก่อนนอน: แสงสีฟ้าจากหน้าจอจะรบกวนการหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนิน
    • ออกกำลังกายเป็นประจำ: การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณนอนหลับได้สนิทมากขึ้น
    • หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนก่อนนอน: คาเฟอีนจะกระตุ้นระบบประสาท ทำให้คุณหลับยากขึ้น
    • กำหนดตารางเวลาในการนอนให้เป็นประจำ: พยายามเข้านอนและตื่นนอนในเวลาเดียวกันทุกวัน

    การนอนหลับก่อน 4 ทุ่มเป็นการเริ่มต้นที่ดีในการดูแลสุขภาพของคุณ ลองปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้แล้วคุณจะรู้สึกถึงความแตกต่างได้เอง

    องุ่นแดง องุ่นเขียว

    องุ่นแดง องุ่นเขียว ต่างกันอย่างไร? รู้ไว้ กินให้ถูกโรค

    องุ่น ผลไม้สีสวย รสชาติหวานอมเปรี้ยว ที่หลายคนชื่นชอบ นอกจากจะอร่อยแล้ว องุ่นยังอุดมไปด้วยสารอาหารมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่รู้หรือไม่ว่า องุ่นแต่ละสีนั้นมีคุณสมบัติและสรรพคุณที่แตกต่างกันไป วันนี้เราจะพาคุณไปไขข้อข้องใจเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่าง องุ่นแดง และ องุ่นเขียว ว่ามีอะไรบ้าง

    ความแตกต่างระหว่าง องุ่นแดง และ องุ่นเขียว

    องุ่นแดง

    องุ่นแดง มีสีแดงเข้มสวยงาม อันเนื่องมาจากสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากความเสียหาย และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคเกี่ยวกับระบบประสาท

    คุณสมบัติเด่นขององุ่นแดง:

    • ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ: สารแอนโทไซยานินในองุ่นแดงช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ ลดความดันโลหิต และป้องกันการเกิดลิ่มเลือด
    • ชะลอความเสื่อมของสมอง: สารต้านอนุมูลอิสระในองุ่นแดงช่วยปกป้องเซลล์ประสาทและชะลอการเสื่อมของสมอง
    • ต้านการอักเสบ: ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ลดอาการปวดเมื่อย
    • บำรุงสายตา: สารเบต้าแคโรทีนช่วยบำรุงสายตา ป้องกันโรคต้อกระจก

    องุ่นเขียว

    องุ่นเขียว มีรสชาติหวานอมเปรี้ยวสดชื่น และมีปริมาณน้ำตาลน้อยกว่าองุ่นแดง อุดมไปด้วยวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น กรดเฟรูลิก (Ferulic acid)

    คุณสมบัติเด่นขององุ่นเขียว:

    • ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานหรือผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
    • บำรุงผิวพรรณ: วิตามินซีช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส และช่วยในการสร้างคอลลาเจน
    • เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน: วิตามินซีช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันการติดเชื้อ
    • ช่วยย่อยอาหาร: ใยอาหารในองุ่นเขียวช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบขับถ่าย

    สรุป

    ทั้งองุ่นแดงและองุ่นเขียวต่างมีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพที่แตกต่างกันออกไป การเลือกทานองุ่นชนิดใดขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวและสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล

    วิธีเลือกอะโวคาโด

    วิธีเลือกอะโวคาโดให้ได้ผลสุกกำลังดี อร่อยถูกใจ

    อะโวคาโด ผลไม้สุดฮิตที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ด้วยเนื้อสัมผัสเนียนนุ่ม รสชาติมันๆ หอมละมุน และมีประโยชน์ต่อสุขภาพสูง แต่หลายคนก็ยังสับสนในการเลือกซื้ออะโวคาโดให้ได้ผลที่สุกกำลังดี วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจ และเผยเคล็ดลับในการเลือกซื้ออะโวคาโดให้ได้ผลที่อร่อยถูกใจกันค่ะ

    วิธีเลือกอะโวคาโด

    • สังเกตสี: ผลอะโวคาโดที่สุกกำลังดีจะมีเปลือกสีเขียวเข้ม หรืออาจมีสีม่วงอมดำเล็กน้อย โดยเฉพาะบริเวณใกล้ขั้วผล
    • สัมผัส: กดเบาๆ ที่ผลอะโวคาโด ถ้ารู้สึกนิ่มเล็กน้อยทั่วผล แสดงว่าสุกกำลังดี หากแข็งมากแสดงว่ายังดิบอยู่ แต่ถ้ากดแล้วบุ๋มลงไปมาก แสดงว่าสุกเกินไป เนื้ออาจจะเละได้
    • ดูที่ขั้ว: ขั้วผลอะโวคาโดที่สุกจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล และเมื่อกดเบาๆ จะรู้สึกนิ่ม
    • เขย่า: ลองเขย่าผลอะโวคาโดเบาๆ ถ้าได้ยินเสียงเมล็ดขยับภายใน แสดงว่าสุกกำลังดี แต่ถ้าเงียบสนิทอาจจะยังดิบอยู่
    • สังเกตขนาด: ผลอะโวคาโดที่มีขนาดใหญ่ มักจะมีเนื้อเยอะกว่าผลเล็ก
    • หลีกเลี่ยงผลที่มีรอยช้ำ: ผลอะโวคาโดที่มีรอยช้ำ รอยบุบ หรือรอยด่าง จะมีรสชาติไม่อร่อย และอาจเน่าเสียได้เร็ว

    เคล็ดลับการเร่งให้อะโวคาโดสุกเร็วขึ้น

    • วิธีที่ 1: ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์: ห่อผลอะโวคาโดด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ แล้วเก็บไว้ในที่อุณหภูมิห้องประมาณ 1-2 วัน เอทิลีนที่ปล่อยออกมาจากผลไม้จะช่วยเร่งให้สุกเร็วขึ้น
    • วิธีที่ 2: ใช้กล้วย: วางผลอะโวคาโดไว้ใกล้ๆ กล้วยสุก กล้วยจะปล่อยแก๊สเอทิลีนออกมา ช่วยเร่งให้อะโวคาโดสุกเร็วขึ้น
    • วิธีที่ 3: ใช้เตาอบ: อุ่นเตาอบที่อุณหภูมิต่ำ ประมาณ 100 องศาเซลเซียส วางผลอะโวคาโดบนถาด แล้วอบประมาณ 10-15 นาที วิธีนี้จะช่วยให้เนื้ออะโวคาโดนิ่มเร็วขึ้น

    วิธีเก็บรักษาอะโวคาโดให้สด

    • อะโวคาโดที่ยังไม่สุก: เก็บไว้ในที่อุณหภูมิห้อง
    • อะโวคาโดที่สุกแล้ว: หากยังไม่พร้อมทาน สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นช่องผักได้ แต่เนื้อจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลได้เร็วขึ้น
    • อะโวคาโดที่หั่นแล้ว: หากหั่นอะโวคาโดออกมาแล้วทานไม่หมด สามารถเก็บไว้ในตู้เย็น โดยห่อด้วยพลาสติกแรปให้แน่นๆ หรือจะราดด้วยน้ำมะนาวเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อเปลี่ยนสี

    เคล็ดลับเพิ่มเติม:

    • หากต้องการให้อะโวคาโดสุกช้าลง สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นช่องผักได้
    • อะโวคาโดที่สุกกำลังดี จะมีเนื้อสีเหลืองอ่อน หรือสีเขียวอ่อน เนื้อนุ่ม และมีรสชาติมันๆ หอมละมุน

    เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

    ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

    คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

    ยอมรับทั้งหมด
    จัดการความเป็นส่วนตัว
    • เปิดใช้งานตลอด

    บันทึกการตั้งค่า