ข่าวสารวันนี้

ส่องข่าวสาร แวดวงการเมือง อัปเดตรายวัน

    ผู้เขียน: collinbroad-admin

    กรมราชทัณฑ์แจง! ข่าวลือ “กันต์ กันตถาวร” จบชีวิตในเรือนจำ ไม่เป็นความจริง

    กรมราชทัณฑ์แจง! ข่าวลือ “กันต์ กันตถาวร” จบชีวิตในเรือนจำ ไม่เป็นความจริง


    นางกนกวรรณ จิ๋วเชื้อพันธุ์ ผู้อำนวยการกองทัณฑวิทยา และรักษาการผู้อำนวยการทัณฑสถานหญิงกลาง ในฐานะรองโฆษกกรมราชทัณฑ์ ออกมาชี้แจงกรณีที่มีข่าวลือแพร่สะพัดในโลกออนไลน์ว่า กันต์ กันตถาวร หนึ่งในจำเลยคดี “ดิ ไอคอน” ได้จบชีวิตตัวเองภายในเรือนจำ โดยข่าวลือดังกล่าวอ้างว่า เจ้าตัวเกิดความเครียดหนัก หลังจากที่ มิน พีชญา และ แซม ยุรนันท์ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีเดียวกัน ได้รับการปล่อยตัวหลังอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง ขณะที่ตนเองยังคงถูกคุมขังอยู่

    นางกนกวรรณระบุว่า ขณะนี้กรมราชทัณฑ์ยังไม่ได้รับรายงานใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว พร้อมยืนยันว่า กันต์ กันตถาวร มีสุขภาพร่างกายปกติ ไม่ได้ร้องขอพบแพทย์ และไม่มีอาการเครียดอย่างที่เป็นข่าว ทั้งนี้ เธอยังย้ำว่าข่าวลือนี้ไม่มีที่มาที่ไป เป็นเพียงกระแสที่ถูกแชร์ในโซเชียลมีเดียเท่านั้น และจนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายงานยืนยันจากกรมราชทัณฑ์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว

    เธอขอความร่วมมือจากประชาชนให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนแชร์ข้อมูล เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดและการเผยแพร่ข่าวลวงที่อาจสร้างความตื่นตระหนกในสังคม

    วิธีบํารุงกระดูก

    บำรุงกระดูกให้แข็งแรง สุขภาพดี ตลอดชีวิต

    กระดูกเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย ช่วยรองรับน้ำหนักและปกป้องอวัยวะภายใน การมีกระดูกที่แข็งแรงจึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อสุขภาพที่ดี การบำรุงกระดูกให้แข็งแรงสามารถทำได้หลายวิธี ทั้งการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย และการดูแลสุขภาพโดยรวม

    วิธีบำรุงกระดูกให้แข็งแรง

    1. รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง

    • นมและผลิตภัณฑ์จากนม: นม โยเกิร์ต ชีส เป็นแหล่งแคลเซียมที่สำคัญ
    • ผักใบเขียวเข้ม: ผักขม คะน้า บรอกโคลี อุดมไปด้วยแคลเซียม
    • ปลาเล็กปลาน้อย: ปลาซาร์ดีน กุ้งแห้ง มีแคลเซียมสูง
    • ถั่วต่างๆ: ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วลิสง
    • อาหารเสริมแคลเซียม: ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน

    2. รับประทานอาหารที่มีวิตามินดีสูง

    • แสงแดด: การรับแสงแดดอ่อนๆ ในตอนเช้า ช่วยให้ร่างกายสร้างวิตามินดี
    • อาหาร: ปลาทะเล ปลาแซลมอน ไข่แดง เห็ด

    3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

    • ออกกำลังกายแบบแบกน้ำหนัก: เช่น วิ่ง เต้นแอโรบิก ยกน้ำหนัก ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์กระดูกใหม่
    • ออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแรง: เช่น โยคะ ปี่ลาเตส ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและเอ็น

    4. หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง

    • งดสูบบุหรี่: นิโคตินทำลายกระดูก
    • ลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: ทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้น้อยลง
    • ควบคุมน้ำหนัก: น้ำหนักตัวมากเกินไปกดดันกระดูก

    5. ตรวจสุขภาพเป็นประจำ

    • ตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก: เพื่อประเมินสุขภาพกระดูกและค้นหาโรคกระดูกพรุนในระยะเริ่มต้น

    อาหารเสริมที่ช่วยบำรุงกระดูก

    นอกจากการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์แล้ว การทานอาหารเสริมก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการบำรุงกระดูก โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน หรือผู้ที่ขาดแคลเซียมและวิตามินดี แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานเสมอ

    โรคที่เกี่ยวข้องกับกระดูก

    • โรคกระดูกพรุน: กระดูกเปราะบางและหักง่าย
    • โรคข้อเสื่อม: ข้อต่อเสื่อมสภาพ
    • โรคอักเสบของข้อ: ข้ออักเสบและบวม

    สรุป

    การบำรุงกระดูกให้แข็งแรงเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพโดยรวม การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และดูแลสุขภาพโดยรวม จะช่วยให้เรามีกระดูกที่แข็งแรงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว

    จัดโต๊ะไหว้ตรุษจีน

    จัดโต๊ะไหว้ตรุษจีนให้งามและเป็นสิริมงคล

    เทศกาลตรุษจีนเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ชาวจีนทั่วโลกจะได้มารวมตัวกันเพื่อฉลองปีใหม่และแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษ การจัดโต๊ะไหว้ตรุษจีนจึงเป็นประเพณีที่สำคัญอย่างยิ่ง โดยการจัดโต๊ะไหว้ที่สวยงามและถูกต้องตามประเพณี จะช่วยเสริมสิริมงคลให้กับครอบครัวในปีใหม่

    วิธีจัดโต๊ะไหว้ตรุษจีน

    1. เลือกสถานที่: จัดโต๊ะไหว้ในบริเวณที่สะอาดเรียบร้อย มองเห็นได้ชัดเจน และมีแสงสว่างเพียงพอ
    2. จัดเตรียมของไหว้: ของไหว้ที่นิยมใช้ในการไหว้ตรุษจีน ได้แก่
      • ผลไม้: ส้ม (ส้มจีน), แอปเปิล, สาลี่, กล้วย, สับปะรด, ทับทิม (สื่อถึงความสมบูรณ์)
      • ขนม: ขนมเข่ง, ขนมเทียน, ขนมจีบ, ขนมเปี๊ยะ (สื่อถึงความหวานชื่น)
      • อาหารคาว: ไก่ต้ม, ปลาทอด, เนื้อสัตว์ (สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์)
      • ข้าวสวย: สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์
      • ธูป เทียน: ใช้สำหรับบูชา
      • กระดาษเงินกระดาษทอง: ใช้สำหรับบูชาบรรพบุรุษ
      • เครื่องดื่ม: ชาจีน, เหล้าจีน
    3. จัดวางของไหว้:
      • จุดศูนย์กลาง: วางรูปปั้นเทพเจ้าหรือภาพเทพเจ้าที่เคารพ
      • ด้านหน้า: วางกระถางธูป, เชิงเทียน, และแจกันดอกไม้
      • ด้านซ้าย: วางของคาว
      • ด้านขวา: วางของหวานและผลไม้
      • ด้านหลัง: วางข้าวสวย
    4. จุดธูปและไหว้: จุดธูปตามจำนวนที่เหมาะสม (มักจะเป็นเลขคู่) และอธิษฐานขอพรตามความเชื่อส่วนบุคคล
    5. การไหว้: ควรไหว้ด้วยความเคารพและตั้งใจ
    6. การเก็บของไหว้: หลังจากไหว้เสร็จ สามารถนำของไหว้ไปรับประทานได้

    ข้อควรระวังและข้อห้าม

    • จำนวนจาน: จำนวนจานควรเป็นเลขคู่ (ยกเว้นเลข 4)
    • สีของจาน: ไม่ควรใช้จานสีดำ
    • ทิศทาง: ควรจัดวางโต๊ะไหว้ให้หันหน้าไปทางทิศที่เป็นมงคล
    • ความสะอาด: ควรดูแลความสะอาดของโต๊ะไหว้และของไหว้ให้เรียบร้อย

    ความหมายของของไหว้

    • ส้ม: สื่อถึงความเป็นสิริมงคลและความโชคดี
    • แอปเปิล: สื่อถึงความสงบสุขและความเจริญ
    • สาลี่: สื่อถึงความมั่งคั่ง
    • กล้วย: สื่อถึงการเพิ่มพูน
    • สับปะรด: สื่อถึงความเจริญก้าวหน้า
    • ทับทิม: สื่อถึงความโชคดี

    สรุป

    การจัดโต๊ะไหว้ตรุษจีนเป็นประเพณีที่สวยงามและมีความหมาย การจัดโต๊ะไหว้ที่ถูกต้องจะช่วยเสริมสิริมงคลให้กับครอบครัวและเป็นการแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษ

    กลิ่นที่สุนัขไม่ชอบ

    กลิ่นที่สุนัขไม่ชอบ: สิ่งที่คุณควรรู้เพื่อเข้าใจเพื่อนซื่อสัตย์

    สุนัขมีประสาทสัมผัสที่ไวต่อกลิ่นเป็นอย่างมาก พวกเขามีความสามารถในการรับรู้กลิ่นได้ดีกว่ามนุษย์หลายเท่า ดังนั้น กลิ่นบางอย่างที่เราอาจไม่รู้สึกอะไร แต่สุนัขกลับรู้สึกรำคาญและไม่ชอบเป็นอย่างมาก วันนี้เราจะมาเจาะลึกถึงกลิ่นที่สุนัขไม่ชอบกัน เพื่อให้คุณสามารถดูแลและเข้าใจเพื่อนซื่อสัตย์ของคุณได้ดียิ่งขึ้น

    ทำไมสุนัขถึงไม่ชอบกลิ่นบางอย่าง?

    • สัญชาตญาณ: กลิ่นบางอย่างอาจกระตุ้นสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของสุนัข เช่น กลิ่นของสัตว์นักล่า หรือสารเคมีที่เป็นอันตราย
    • ความรู้สึกไม่สบาย: กลิ่นบางอย่างอาจทำให้สุนัขรู้สึกไม่สบายตัว เช่น กลิ่นฉุน กลิ่นเหม็น หรือกลิ่นที่ระคายเคืองจมูก
    • ประสบการณ์ที่ไม่ดี: หากสุนัขเคยมีประสบการณ์ไม่ดีที่เกี่ยวข้องกับกลิ่นใดกลิ่นหนึ่ง พวกเขาอาจมีความรู้สึกไม่ดีต่อกลิ่นนั้นไปตลอด

    กลิ่นที่สุนัขส่วนใหญ่ไม่ชอบ

    • กลิ่นของสัตว์นักล่า: สุนัขเป็นสัตว์ที่ถูกล่า ดังนั้นพวกเขาจึงมีสัญชาตญาณในการกลัวกลิ่นของสัตว์นักล่า เช่น หมาป่า เสือ หรือสัตว์เลื้อยคลาน
    • กลิ่นของสารเคมี: สารเคมีบางชนิด เช่น คลอรีน น้ำยาซักผ้า น้ำยาทำความสะอาด มีกลิ่นฉุนและระคายเคืองต่อจมูกของสุนัข
    • กลิ่นของอาหารบางชนิด: อาหารบางชนิด เช่น พริก หอมแดง กระเทียม มีกลิ่นฉุนและรสเผ็ด ซึ่งสุนัขไม่ชอบ
    • กลิ่นของยาและน้ำหอม: สุนัขมีจมูกที่ไวต่อกลิ่นมาก กลิ่นของยาและน้ำหอมที่แรงอาจทำให้สุนัขรู้สึกไม่สบายตัว
    • กลิ่นของปัสสาวะและอุจจาระของสัตว์อื่น: สุนัขสามารถรับรู้กลิ่นของปัสสาวะและอุจจาระของสัตว์อื่นได้อย่างชัดเจน และอาจรู้สึกไม่ปลอดภัยหากพบเจอกลิ่นเหล่านี้
    • กลิ่นของบุคคลที่สุนัขไม่ชอบ: สุนัขสามารถจดจำกลิ่นของคนได้ และหากเคยมีประสบการณ์ไม่ดีกับบุคคลใด พวกเขาอาจไม่ชอบกลิ่นของบุคคลนั้น

    วิธีการรับมือกับกลิ่นที่สุนัขไม่ชอบ

    • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีกลิ่นฉุน: เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้านที่ไม่มีกลิ่นฉุน หรือมีกลิ่นอ่อนๆ
    • สร้างสภาพแวดล้อมที่สะอาด: ทำความสะอาดบ้านให้สะอาดอยู่เสมอ เพื่อลดกลิ่นไม่พึงประสงค์
    • ระวังอาหารที่ให้สุนัขกิน: หลีกเลี่ยงการให้อาหารที่มีกลิ่นฉุนหรือรสจัดกับสุนัข
    • พาสุนัขไปพบสัตวแพทย์: หากสุนัขของคุณมีอาการผิดปกติ เช่น คัน หายใจติดขัด หรือมีน้ำมูกไหล อาจเกิดจากการแพ้กลิ่นบางชนิด ควรพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจสอบ

    สรุป

    การรู้จักกลิ่นที่สุนัขไม่ชอบ จะช่วยให้คุณสามารถดูแลและเข้าใจเพื่อนซื่อสัตย์ของคุณได้ดียิ่งขึ้น การสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและปราศจากกลิ่นที่น่ารำคาญ จะทำให้น้องหมาของคุณมีความสุขและมีสุขภาพที่ดี

    สมรสเท่าเทียม จดทะเบียน

    เตรียมตัวอย่างไรให้พร้อมสำหรับการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียม? คู่มือฉบับสมบูรณ์

    ขอแสดงความยินดีกับคู่รักทุกคู่ที่รอคอยวันนี้! การจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมเป็นก้าวสำคัญในชีวิตคู่ของคุณ เพื่อให้การจดทะเบียนเป็นไปอย่างราบรื่น ลองมาเตรียมตัวกันด้วยขั้นตอนเหล่านี้

    จดทะเบียนสมรสเท่าเทียม เตรียมอะไรบ้าง?

    • เตรียมเอกสารให้พร้อม: ก่อนวันนัดหมาย อย่าลืมเตรียมเอกสารสำคัญ เช่น บัตรประชาชน (ตัวจริง), สูติบัตร, หนังสือเดินทาง (สำหรับชาวต่างชาติ), และสัญญาก่อนสมรส (ถ้ามี)
    • เลือกสถานที่จดทะเบียน: คุณสามารถเลือกจดทะเบียนได้ที่สำนักงานเขต/อำเภอทั่วประเทศ หรือที่จุดบริการพิเศษ เช่น สยามพารากอน
    • ค่าใช้จ่าย: ค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนมีน้อยมาก หรือบางแห่งอาจไม่มีค่าใช้จ่าย
    • คำแนะนำเพิ่มเติม:
      • หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานเขต/อำเภอ หรือติดต่อสายด่วนของกรมการปกครอง
      • ควรเตรียมตัวล่วงหน้า เพื่อป้องกันความล่าช้า
      • อย่าลืมนำปากกาไปด้วย
      • เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการถ่ายรูปคู่
    สระผม น้ําอุ่น น้ําเย็น

    น้ำอุ่นหรือน้ำเย็น? สระผมแบบไหนดีกว่ากัน?

    การสระผมเป็นกิจวัตรประจำวันที่หลายคนให้ความสำคัญ แต่คำถามที่หลายคนสงสัยคือ การใช้ “น้ำอุ่น” หรือ “น้ำเย็น” ในการสระผม แบบไหนดีกว่ากัน? มาหาคำตอบพร้อมกันเลยค่ะ

    น้ำอุ่น: เปิดทางให้ความสะอาด

    • ข้อดี:
      • เปิดเกล็ดผม: น้ำอุ่นจะช่วยเปิดเกล็ดผม ทำให้แชมพูสามารถทำความสะอาดได้อย่างล้ำลึก ขจัดสิ่งสกปรก น้ำมัน และรังแคได้ดี
      • ผ่อนคลายหนังศีรษะ: ความอบอุ่นของน้ำช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อหนังศีรษะ ลดอาการตึงเครียด
    • ข้อควรระวัง:
      • ทำลายเส้นผม: หากใช้น้ำร้อนจัดเกินไป อาจทำให้เส้นผมแห้งเสีย และหนังศีรษะระคายเคืองได้
      • ทำให้สีผมจางเร็ว: สำหรับผู้ที่ย้อมสีผม การใช้น้ำร้อนจัดบ่อยๆ อาจทำให้สีผมจางเร็วขึ้น

    น้ำเย็น: ปิดเกล็ดผมให้เรียบลื่น

    • ข้อดี:
      • ปิดเกล็ดผม: น้ำเย็นจะช่วยปิดเกล็ดผม ทำให้เส้นผมเรียบลื่น เงางาม และลดปัญหาผมพันกัน
      • กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต: ช่วยให้หนังศีรษะรู้สึกสดชื่น กระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม
    • ข้อควรระวัง:
      • อาจไม่สะอาดหมดจด: หากใช้เพียงน้ำเย็น อาจทำให้แชมพูล้างออกไม่หมด ทำให้เกิดคราบสะสมบนหนังศีรษะได้

    เลือกใช้อุณหภูมิน้ำอย่างไรให้เหมาะสม?

    • น้ำอุ่น: เหมาะสำหรับผู้ที่มีหนังศีรษะมัน หรือมีปัญหาเรื่องรังแค
    • น้ำเย็น: เหมาะสำหรับผู้ที่มีผมแห้งเสีย หรือต้องการให้ผมเรียบลื่น
    • น้ำอุณหภูมิปานกลาง: เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่มีหนังศีรษะและเส้นผมปกติ

    เคล็ดลับเพิ่มเติม:

    • ล้างด้วยน้ำเย็น: ไม่ว่าจะสระผมด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำปกติ ควรล้างออกด้วยน้ำเย็นในขั้นตอนสุดท้าย เพื่อช่วยปิดเกล็ดผม
    • ปรับอุณหภูมิให้เหมาะสม: หลีกเลี่ยงการใช้น้ำร้อนหรือน้ำเย็นจัดเกินไป
    • ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผม: หลังจากสระผม ควรใช้คอนดิชันเนอร์หรือทรีทเมนต์เพื่อบำรุงเส้นผมให้แข็งแรง

    สรุป:

    การเลือกใช้น้ำอุ่นหรือน้ำเย็นในการสระผมขึ้นอยู่กับสภาพเส้นผมและหนังศีรษะของแต่ละบุคคล การใช้น้ำอุณหภูมิที่เหมาะสมจะช่วยให้เส้นผมของคุณดูสุขภาพดี เงางาม และลดปัญหาผมเสียได้

    มัทฉะ มีกี่ประเภท

    มัทฉะ มีกี่ประเภท? มาทำความรู้จักชาเขียวมัทฉะให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

    มัทฉะ มีกี่ประเภท?? มัทฉะ หรือ ชาเขียวมัทฉะ นอกจากจะเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายแล้ว ยังมีหลากหลายเกรดและประเภทให้เลือก ซึ่งมัทฉะแต่ละประเภทก็มีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องของรสชาติ กลิ่น สี และวิธีการผลิต วันนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับมัทฉะแต่ละประเภทให้มากขึ้น เพื่อที่คุณจะได้เลือกมัทฉะที่ถูกใจและเหมาะกับการใช้งานของคุณมากที่สุด

    การแบ่งประเภทของมัทฉะ

    โดยทั่วไป มัทฉะจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ

    1. Ceremonial Grade (มัทฉะพิธีการ)

    • คุณภาพสูงสุด: เป็นมัทฉะเกรดพรีเมียม มีคุณภาพสูงสุด ผลิตจากใบชาอ่อนที่เก็บเกี่ยวในช่วงเวลาที่เหมาะสม
    • รสชาติ: มีรสชาติที่นุ่มนวล หวาน หอม และไม่มีความขม
    • สี: มีสีเขียวสดใส
    • การใช้งาน: เหมาะสำหรับการใช้ในพิธีชงชาแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม หรือชงดื่มเพียวๆ เพื่อสัมผัสรสชาติที่แท้จริงของมัทฉะ

    2. Cooking Grade (มัทฉะสำหรับทำอาหาร)

    • คุณภาพ: มีคุณภาพรองลงมาจาก Ceremonial Grade
    • รสชาติ: รสชาติอาจจะเข้มข้นกว่า มีความขมเล็กน้อย เหมาะสำหรับนำไปผสมในอาหารหรือเครื่องดื่มอื่นๆ
    • สี: สีอาจจะไม่เข้มเท่ากับ Ceremonial Grade
    • การใช้งาน: เหมาะสำหรับใช้ในการทำขนมอบ เค้ก ไอศกรีม หรือเครื่องดื่ม เช่น มัทฉะลาเต้

    ปัจจัยที่ทำให้มัทฉะแต่ละประเภทแตกต่างกัน

    • สายพันธุ์ชา: ชาเขียวที่นำมาทำมัทฉะมีหลายสายพันธุ์ แต่ละสายพันธุ์ก็จะมีรสชาติและกลิ่นที่แตกต่างกัน
    • ภูมิภาคที่ปลูก: สภาพภูมิอากาศและดินที่ปลูกชาจะส่งผลต่อรสชาติและคุณภาพของมัทฉะ
    • วิธีการผลิต: กระบวนการผลิตมัทฉะแต่ละขั้นตอน ตั้งแต่การเก็บเกี่ยวใบชาไปจนถึงการบด จะมีผลต่อคุณภาพของมัทฉะ
    • ฤดูกาลที่เก็บเกี่ยว: มัทฉะที่เก็บเกี่ยวในช่วงฤดูใบไม้ผลิจะมีคุณภาพสูงที่สุด

    การเลือกมัทฉะให้เหมาะกับตัวเอง

    • พิจารณารสชาติที่ชอบ: ถ้าชอบรสชาติที่นุ่มนวล หวาน ควรเลือกมัทฉะเกรด Ceremonial Grade แต่ถ้าชอบรสชาติที่เข้มข้นและมีกลิ่นหอม ควรเลือกมัทฉะเกรด Cooking Grade
    • วัตถุประสงค์ในการใช้งาน: ถ้าต้องการชงดื่มเพียวๆ ควรเลือกมัทฉะเกรด Ceremonial Grade แต่ถ้าต้องการนำไปทำขนมหรือเครื่องดื่มอื่นๆ สามารถเลือกมัทฉะเกรด Cooking Grade ได้
    • งบประมาณ: มัทฉะเกรด Ceremonial Grade มักจะมีราคาสูงกว่ามัทฉะเกรด Cooking Grade

    สรุป

    มัทฉะแต่ละประเภทจะมีความแตกต่างกันในหลายๆ ด้าน การเลือกมัทฉะให้เหมาะกับตัวเองนั้นขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวและวัตถุประสงค์ในการใช้งาน หากคุณต้องการสัมผัสรสชาติที่แท้จริงของมัทฉะ ควรเลือกมัทฉะเกรด Ceremonial Grade แต่ถ้าต้องการนำไปทำอาหารหรือเครื่องดื่มอื่นๆ สามารถเลือกมัทฉะเกรด Cooking Grade ได้

    ท่าออกกําลังกาย ไม่กระโดด

    ท่าออกกำลังกาย ไม่กระโดด: เหมาะสำหรับทุกคน ทุกวัย

    สำหรับใครที่กำลังมองหาท่าออกกำลังกายที่ไม่ต้องกระโดด ไม่ก่อให้เกิดแรงกระแทกต่อข้อต่อ หรือต้องการออกกำลังกายเบาๆ ที่บ้าน วันนี้เรามีท่าออกกำลังกายที่ไม่ต้องกระโดดมาฝากกันค่ะ ท่าเหล่านี้เหมาะสำหรับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย สามารถทำได้ง่ายๆ ที่บ้านโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษมากมาย

    เหตุผลที่ควรเลือกท่าออกกำลังกายไม่กระโดด

    • ลดแรงกระแทกต่อข้อต่อ: เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาข้อเข่า ข้อเท้า หรือผู้สูงอายุ
    • ออกกำลังกายได้ต่อเนื่อง: ไม่ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บง่าย
    • สามารถทำได้ทุกที่: ไม่จำเป็นต้องไปยิม
    • เหมาะสำหรับทุกระดับความฟิต: สามารถปรับระดับความเข้มข้นได้ตามความต้องการ

    ท่าออกกำลังกายที่ไม่ต้องกระโดด

    ท่าบริหารส่วนบน

    • ท่าแพลงก์: ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว
    • ท่าปีกผีเสื้อ: ช่วยกระชับกล้ามเนื้อแขนและไหล่
    • ท่าวิดพื้น: ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้ออก ไหล่ และท้อง
    • ท่าโรมันเชียร์: ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อหลัง

    ท่าบริหารส่วนล่าง

    • ท่าสควอท: ช่วยกระชับกล้ามเนื้อต้นขาและก้น
    • ท่าลันจ์: ช่วยกระชับกล้ามเนื้อต้นขาและก้น
    • ท่าสะพาน: ช่วยกระชับกล้ามเนื้อก้นและหลังส่วนล่าง
    • ท่ายกขาขึ้น: ช่วยกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้องและต้นขา

    ท่าบริหารแกนกลางลำตัว

    • ท่าครั้นช์: ช่วยกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้อง
    • ท่าเลッグเรส: ช่วยกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้องส่วนล่าง
    • ท่าไซด์แพลงก์: ช่วยกระชับกล้ามเนื้อด้านข้างลำตัว

    เคล็ดลับในการออกกำลังกาย

    • วอร์มอัพ: ก่อนออกกำลังกายควรวอร์มอัพประมาณ 5-10 นาที เพื่อเตรียมร่างกาย
    • คูลดาวน์: หลังออกกำลังกายควรยืดเหยียดกล้ามเนื้อเพื่อคลายความเมื่อยล้า
    • ทำซ้ำ: ทำแต่ละท่าซ้ำประมาณ 10-15 ครั้ง ทำ 3 เซต
    • พักผ่อน: พักผ่อนระหว่างเซตประมาณ 30 วินาที – 1 นาที
    • ดื่มน้ำ: ดื่มน้ำให้เพียงพอระหว่างออกกำลังกาย

    ตัวอย่างโปรแกรมออกกำลังกาย

    • วันจันทร์: บริหารส่วนบน (แพลงก์, ปีกผีเสื้อ, วิดพื้น, โรมันเชียร์)
    • วันพุธ: บริหารส่วนล่าง (สควอท, ลันจ์, สะพาน, ยกขาขึ้น)
    • วันศุกร์: บริหารแกนกลางลำตัว (ครั้นช์, เล็กเรส, ไซด์แพลงก์)

    หมายเหตุ: โปรแกรมนี้เป็นเพียงตัวอย่าง สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมและความต้องการของแต่ละบุคคล

    ข้อควรระวัง

    • ปรึกษาแพทย์: ก่อนเริ่มออกกำลังกายควรปรึกษาแพทย์ หากมีโรคประจำตัว
    • ฟังสัญญาณร่างกาย: หากรู้สึกเจ็บปวด ให้หยุดพักทันที

    การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง สุขภาพดี และมีรูปร่างที่ดีขึ้น

    อาหารคลายเครียด

    อาหารคลายเครียด: เมนูช่วยลดความเครียด สู่จิตใจที่สงบ

    ความเครียดเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน การจัดการกับความเครียดจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง นอกจากการพักผ่อนและการออกกำลังกายแล้ว การรับประทานอาหารก็มีส่วนช่วยในการลดความเครียดได้เช่นกัน อาหารบางชนิดมีสารอาหารที่ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและจิตใจสงบ มาดูกันว่า อาหารคลายเครียดที่เรานำมาแนะนำในวันนี้นั้นมีอะไรบ้าง

    อาหารที่ช่วยลดความเครียด

    • ธัญพืชไม่ขัดสี: เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ควินัว อุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ช่วยเพิ่มระดับเซโรโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
    • กล้วย: อุดมไปด้วยวิตามินบี 6 และแมกนีเซียม ช่วยปรับสมดุลระดับน้ำตาลในเลือดและลดความเครียด
    • ถั่วเปลือกแข็ง: เช่น อัลมอนด์ วอลนัท อุดมไปด้วยวิตามินอีและแมกนีเซียม ช่วยลดความเครียดและปรับปรุงอารมณ์
    • ปลาที่มีไขมัน: เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยลดการอักเสบในร่างกายและปรับปรุงอารมณ์
    • ผักใบเขียว: เช่น ผักขม คะน้า บรอกโคลี อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ ช่วยลดความเครียดและป้องกันโรคต่างๆ
    • ดาร์กช็อกโกแลต: อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเครียดและปรับปรุงอารมณ์
    • ชาเขียว: ช่วยลดความเครียดและเพิ่มความตื่นตัว

    สารอาหารที่ช่วยลดความเครียด

    • ทริปโตแฟน: พบในอาหารประเภทโปรตีน เช่น ไก่ ไข่ ช่วยในการสร้างเซโรโทนิน
    • แมกนีเซียม: ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อและลดความวิตกกังวล
    • วิตามินบี: ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและลดความเครียด

    วิธีรับประทานอาหารเพื่อลดความเครียด

    • รับประทานอาหารให้เป็นเวลา: ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่
    • รับประทานอาหารมื้อเล็กๆ หลายมื้อ: ช่วยให้รู้สึกอิ่มอยู่เสมอ
    • หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป: อาหารแปรรูปมักมีโซเดียมและน้ำตาลสูง ซึ่งอาจทำให้เกิดความเครียดได้
    • ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ: เพื่อวางแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับสุขภาพของคุณ

    สรุป

    การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เป็นประจำ ถือเป็นการดูแลสุขภาพจิตที่ดีวิธีหนึ่ง การเลือกทานอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่ช่วยลดความเครียด จะช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายและมีสุขภาพที่ดีขึ้น

    ประวัติวันตรุษจีน

    ประวัติวันตรุษจีน: เทศกาลแห่งการเริ่มต้นใหม่

    วันตรุษจีน หรือ วันปีใหม่จีน เป็นเทศกาลสำคัญของชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีน ที่มีการเฉลิมฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ทั่วโลก โดยประวัติวันตรุษจีนนั้นมีความเป็นมายาวนานนับพันปี

    ที่มาของวันตรุษจีน

    การเฉลิมฉลองฤดูใบไม้ผลิ: จุดเริ่มต้นของวันตรุษจีนนั้นเชื่อมโยงกับการเฉลิมฉลองการสิ้นสุดของฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ และการเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิที่อุดมสมบูรณ์ ชาวจีนโบราณเชื่อว่าฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้นใหม่ การเติบโต และความหวัง ดังนั้นจึงมีการจัดงานเฉลิมฉลองเพื่อต้อนรับฤดูกาลนี้

    การขับไล่สิ่งชั่วร้าย: นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับการขับไล่สิ่งชั่วร้ายและปีศาจออกไปในช่วงเทศกาลนี้ เพื่อนำความโชคดีและความสุขมาให้กับครอบครัวและชุมชน

    ประเพณีและความเชื่อ

    • การไหว้เทพเจ้าและบรรพบุรุษ: เป็นประเพณีสำคัญที่ชาวจีนปฏิบัติกันมาอย่างยาวนาน เพื่อขอพรให้ได้รับพรจากเทพเจ้าและบรรพบุรุษ
    • การให้เงินอั่งเปา: เป็นการมอบเงินให้กับเด็กๆ และผู้ใหญ่เพื่อเป็นสิริมงคล
    • การติดป้ายและโคมแดง: เพื่อนำความโชคดีมาสู่บ้านเรือน
    • การกินอาหารมงคล: เช่น ก๋วยเตี๋ยว, เป็ดย่าง, ปลา, ขนมเข่ง, ขนมเทียน เป็นต้น
    • การเต้นลีออนและมังกร: เพื่อไล่สิ่งชั่วร้ายและนำความสุขมาให้
    • การรวมญาติ: เป็นโอกาสที่สมาชิกในครอบครัวจะได้มารวมตัวกัน

    วันสำคัญในช่วงเทศกาลตรุษจีน

    • วันจ่าย: วันเตรียมของไหว้และทำความสะอาดบ้านเรือน
    • วันไหว้: วันทำพิธีไหว้เทพเจ้าและบรรพบุรุษ
    • วันเที่ยว: วันที่ทุกคนจะออกไปเที่ยวและสังสรรค์กัน

    ความสำคัญของวันตรุษจีน

    • การรักษาประเพณี: การเฉลิมฉลองวันตรุษจีนเป็นการสืบทอดประเพณีและวัฒนธรรมของชาวจีน
    • การเสริมสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว: ช่วยให้สมาชิกในครอบครัวได้มีโอกาสมาพบปะสังสรรค์กัน
    • การสร้างความสามัคคีในชุมชน: ชุมชนชาวจีนจะร่วมกันจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาล

    วันตรุษจีน ไม่เพียงแต่เป็นเทศกาลที่สำคัญทางศาสนาและวัฒนธรรม แต่ยังเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข ความอบอุ่น และการเริ่มต้นใหม่ของชาวจีนทั่วโลก


    เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

    ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

    คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

    ยอมรับทั้งหมด
    จัดการความเป็นส่วนตัว
    • เปิดใช้งานตลอด

    บันทึกการตั้งค่า