ข่าวสารวันนี้

ส่องข่าวสาร แวดวงการเมือง อัปเดตรายวัน

    รวมเลขเด็ดจังหวัดพังงา ลุ้นโชคสลากกินแบ่งรัฐบาลงวดนี้

    รวมเลขเด็ดจังหวัดพังงา ลุ้นโชคสลากกินแบ่งรัฐบาลงวดนี้

    รวมเลขเด็ดจังหวัดพังงา ลุ้นโชคสลากกินแบ่งรัฐบาลงวดนี้

    สำหรับการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลงวดวันที่ 1 มีนาคม 2568 นี้ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้กำหนดให้จัด สลากสัญจร ขึ้นที่ จังหวัดพังงา โดยสถานที่จัดงานคือ ห้องไหมฟ้า โรงแรม เลอ เอราวัณ พังงา อำเภอเมืองพังงา ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งงวดที่นักเสี่ยงโชครอคอยอย่างใจจดใจจ่อ

    ทาง Sanook News ได้รวบรวมแนวทางเลขเด็ดที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดพังงา รวมถึงเลขที่เชื่อมโยงกับ ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา เพื่อให้คอหวยได้นำไปพิจารณาเสี่ยงโชคในงวดนี้

    🔢 เลขเด่นที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดพังงา

    • จำนวนอำเภอ : 8 อำเภอ
    • จำนวนตำบล : 48 ตำบล
    • รหัสไปรษณีย์ : 820xx
    • รหัสโทรศัพท์ : 076

    📊 ข้อมูลเชิงสถิติของจังหวัดพังงา

    • อันดับขนาดพื้นที่ : อันดับที่ 53
    • อันดับจำนวนประชากร : อันดับที่ 71
    • อันดับความหนาแน่นประชากร : อันดับที่ 68

    🏛 เลขที่เกี่ยวข้องกับผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา

    • ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าฯ คนที่ : 58
    • ปีเกิด : พ.ศ. 2518
    • อายุปัจจุบัน : 50 ปี (ย่างเข้า 51 ปี)

    คอหวยสามารถนำเลขเหล่านี้ไปพิจารณาตามแนวทางของตนเอง โปรดใช้วิจารณญาณในการเสี่ยงโชค ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลุ้นรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลงวดนี้! 🎉💰

    เจองูในแอร์! นาทีระทึก สาวโรงงานแจ้งกู้ภัยจับได้ทันก่อนเลื้อยหนี


    สาวโรงงานสุดช็อก! ได้ยินเสียงแปลกจากแอร์ ก่อนเจองูโผล่หัว เจ้าหน้าที่กู้ภัยจับสำเร็จ ไม่พลาดขอเลขที่บ้านเสี่ยงโชค

    เมื่อเวลา 22.00 น. วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 ศูนย์วิทยุสมาคมอยุธยารวมใจได้รับแจ้งเหตุขอความช่วยเหลือจับงูที่โผล่ออกมาจากช่องแอร์ ภายในบ้านหลังหนึ่งใน จ.พระนครศรีอยุธยา เจ้าหน้าที่กู้ภัยที่มีความเชี่ยวชาญจึงรุดไปให้การช่วยเหลือ

    ที่เกิดเหตุพบ นางสาววราภรณ์ อายุ 45 ปี เจ้าของบ้าน ยืนรอเจ้าหน้าที่ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ก่อนจะพาไปตรวจสอบเครื่องปรับอากาศภายในห้องนอน พบว่ามีคราบงูติดอยู่ จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเป็น งูเขียวพระอินทร์ เจ้าหน้าที่จึงพยายามค้นหาตามช่องต่าง ๆ ของแอร์แต่ไม่พบตัว จำเป็นต้องรื้อแอร์ออก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเจ้าหน้าที่กู้ภัยไม่มีความชำนาญด้านการถอดแอร์ จึงต้องประสานช่างแอร์เข้ามาช่วยเหลือ

    ต่อมา นายกวิน อายุ 38 ปี ช่างแอร์ เดินทางมาถอดแอร์เพื่อตรวจสอบ พบว่าด้านหลังเครื่องมีช่องสายไฟและท่อน้ำทิ้งที่เชื่อมไปยังคอมเพรสเซอร์ด้านนอก โดยมีรูขนาดใหญ่ที่ไม่มีการอุดปิด คาดว่างูอาจเลื้อยออกไปแล้ว

    เจ้าหน้าที่กู้ภัยและช่างแอร์จึงไปถอดฝาครอบคอมเพรสเซอร์ด้านนอกทันที ขณะที่กำลังเปิดฝา เจ้างูเขียวพระอินทร์ก็โผล่หัวออกมาแล้วพุ่งตัวหนี เจ้าหน้าที่รีบจับตัวไว้ได้อย่างปลอดภัย พบว่างูมีความยาวประมาณ 60 เซนติเมตร

    นางสาววราภรณ์ เล่าว่า ตนเป็นพนักงานโรงงาน เพิ่งกลับมาถึงบ้านและกำลังเตรียมตัวเข้านอน จู่ ๆ ได้ยินเสียง “กึก ๆ” จากช่องแอร์จึงหันไปดู ก่อนจะเห็นหัวงูโผล่ออกมา ทำให้ตกใจสุดขีด รีบโทรแจ้งกู้ภัยให้มาช่วยจับงูทันที หลังเจ้าหน้าที่จับงูได้สำเร็จ ทำให้เธอรู้สึกโล่งใจ เพราะตอนแรกคิดว่างูตัวเล็กกว่านี้ หากจับไม่ได้คงไม่กล้านอนต่อแน่นอน

    ด้าน นายปัญญา ชูมะณี และ นางสาวอรพรรณ ดวงน้อย เจ้าหน้าที่กู้ภัยอยุธยา เปิดเผยว่า งูเขียวพระอินทร์เป็นงูที่มีพิษอ่อน ไม่อันตรายต่อมนุษย์ มักเลื้อยเข้ามาในแอร์เพื่อล่าจิ้งจกและตุ๊กแก ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย เนื่องจากงูอาจเข้าไปซ่อนตัวและทำให้เครื่องปรับอากาศเสียหาย

    หลังเสร็จสิ้นภารกิจจับงู นายกวิน ช่างแอร์ ได้ประกอบแอร์คืนสู่สภาพเดิม พร้อมให้คำแนะนำว่า เจ้าของบ้านควรตรวจสอบและปิดช่องโหว่ต่าง ๆ เพื่อป้องกันสัตว์เลื้อยคลานเข้าไปอาศัย

    ขณะที่ เจ้าหน้าที่กู้ภัยอยุธยาไม่พลาดสอบถามเลขที่บ้าน ซึ่งก็คือ เลข 33 เลขสวยที่อาจนำไปเสี่ยงโชคในงวดวันที่ 1 มีนาคม 2568 งานนี้เจ้าของบ้านก็ร่วมลุ้นไปด้วย! 🚀✨

    ต้อกระจกในคนอายุน้อย เกิดจากอะไร? พร้อมวิธีป้องกันก่อนสายเกินไป

    ต้อกระจกในคนอายุน้อย เกิดจากอะไร? พร้อมวิธีป้องกันก่อนสายเกินไป


    ต้อกระจก
    : โรคตาที่เกิดได้กับทุกวัย พร้อมแนวทางป้องกัน

    ในบรรดาโรคต้อที่พบในดวงตา “โรคต้อกระจก” ถือเป็นโรคที่พบบ่อยที่สุด และไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในผู้สูงอายุเท่านั้น คนอายุน้อยก็มีความเสี่ยงจากปัจจัยใกล้ตัวที่อาจมองข้าม เช่น รังสี UV การสูบบุหรี่ และการใช้ยาบางชนิด ต้อกระจกส่งผลให้เลนส์ตาขุ่นมัว กระทบต่อการมองเห็น และหากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นได้

    โรคต้อกระจกคืออะไร?

    ต้อกระจก (Cataracts) เป็นโรคต้อตาชนิดหนึ่งที่เกิดจากความเสื่อมของเลนส์ตา ทำให้เลนส์ที่เคยใสเกิดความขุ่นมัว แสงผ่านได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้มองเห็นไม่ชัดหรือพร่ามัว

    รังสี UV ตัวกระตุ้นที่เร่งให้เกิดต้อกระจก

    แม้ต้อกระจกมักเกิดจากอายุที่มากขึ้น แต่คนอายุน้อยก็สามารถเป็นได้จากปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่น การสูบบุหรี่ การใช้ยาสเตียรอยด์ การผ่าตัดตา โรคประจำตัวที่กระทบสุขภาพดวงตา หรืออุบัติเหตุทางตา

    พญ.จิรนันท์ ทรัพย์ทวีผลบุญ จักษุแพทย์ โรงพยาบาลวิมุต อธิบายว่า “รังสี UV โดยเฉพาะรังสี UVA มีผลโดยตรงต่อการเสื่อมของเลนส์ตา เนื่องจากกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระ ทำให้โปรตีนในเลนส์เสื่อมสภาพและจับตัวเป็นก้อน ก่อให้เกิดความขุ่นมัวในดวงตา ดังนั้น การสวมแว่นกันแดดที่มีการฉาบสารป้องกัน UV จึงเป็นวิธีป้องกันที่ดี”

    อาการเตือนของต้อกระจก

    อาการของต้อกระจกมักเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้สังเกตได้ยาก โดยอาการที่พบบ่อย ได้แก่:

    • ตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด
    • ค่าสายตาเปลี่ยนแปลงผิดปกติ
    • มองเห็นแสงไฟกระจาย หรือเห็นแสงจ้ากว่าปกติ
    • มองเห็นสีเพี้ยนไปจากเดิม

    หากมีอาการเหล่านี้ ควรพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจเช็กสุขภาพตา

    แนวทางการรักษา

    แพทย์สามารถวินิจฉัยต้อกระจกได้ทันทีโดยไม่ต้องส่งตรวจเพิ่มเติม ปัจจุบันมีการนำ AI มาใช้ช่วยวิเคราะห์ภาพถ่ายดวงตา คำนวณค่าเลนส์เทียม และช่วยแจ้งเตือนจุดเสี่ยงระหว่างการผ่าตัด

    สำหรับแนวทางรักษา:

    • ยาหยอดตาต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอการเกิดต้อกระจก แต่ไม่สามารถรักษาให้หายขาด
    • การผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตา เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยสามารถเลือกเลนส์เทียมที่เหมาะสมกับการมองเห็นของผู้ป่วยได้
    • การใช้เลเซอร์ช่วยผ่าตัด เหมาะสำหรับผู้ที่มีถุงหุ้มเลนส์อ่อนแอหรือเลนส์แข็งมาก

    การดูแลหลังผ่าตัด

    การผ่าตัดต้อกระจกมีอัตราความสำเร็จสูงถึง 97-99% ผู้ป่วยต้องดูแลตนเองหลังผ่าตัด เช่น หลีกเลี่ยงไม่ให้น้ำเข้าตา งดล้างหน้า และหลีกเลี่ยงการกระแทกตาในช่วง 1 เดือนแรกเพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อ

    ป้องกันต้อกระจกก่อนสายเกินไป

    • ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ
    • สวมแว่นกันแดดที่ป้องกันรังสี UV
    • หลีกเลี่ยงการใช้ยาหยอดตาที่มีสเตียรอยด์โดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์
    • หมั่นสังเกตการมองเห็นของตัวเอง หากพบความผิดปกติ ควรพบแพทย์ทันที

    “ดวงตาของเรามีคู่เดียว การดูแลสุขภาพตาตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้มองเห็นได้อย่างชัดเจนไปนาน ๆ” พญ.จิรนันท์ ทรัพย์ทวีผลบุญ กล่าวทิ้งท้าย

    สอบถามรายละเอียดและนัดหมายแพทย์ได้ที่ ศูนย์จักษุ ชั้น 5 โรงพยาบาลวิมุต

    คะแนนพรีเมียร์ลีก

    สรุปตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ฤดูกาล 2024-25 (อัปเดตล่าสุด 27 ก.พ. 68)

    การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2024-25 เดินทางมาถึงนัดที่ 27 โดยผลการแข่งขันในช่วงกลางสัปดาห์ส่งผลต่ออันดับตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกอย่างมาก

    ลิเวอร์พูล ยังคงฟอร์มร้อนแรง เดินหน้าเก็บแต้มเพิ่มเป็น 67 คะแนน ยึดจ่าฝูงต่อไปแบบเหนียวแน่น ทิ้งห่าง อาร์เซนอล อันดับสองที่สะดุดเสมอไปถึง 13 คะแนน (แต่แข่งมากกว่า 1 นัด) ส่วน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลับมาติดท็อปโฟร์อีกครั้ง หลังแซง เชลซี ขึ้นมาอยู่อันดับที่ 4 ของตาราง

    ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกล่าสุด (27 ก.พ. 68)

    • ลิเวอร์พูล – 67 คะแนน (+40 ประตู)
    • อาร์เซนอล – 54 คะแนน (+29 ประตู)
    • ฟอเรสต์ – 48 คะแนน (+11 ประตู)
    • แมนฯ ซิตี้ – 47 คะแนน (+16 ประตู)
    • เชลซี – 46 คะแนน (+16 ประตู)
    • นิวคาสเซิ่ล – 44 คะแนน (+8 ประตู)
    • บอร์นมัธ – 43 คะแนน (+13 ประตู)
    • ไบรท์ตัน – 43 คะแนน (+5 ประตู)
    • ฟูแล่ม – 42 คะแนน (+4 ประตู)
    • แอสตัน วิลล่า – 42 คะแนน (-5 ประตู)
    • แมนฯ ยูไนเต็ด – 33 คะแนน (-6 ประตู)

    การลุ้นแชมป์ยังคงเข้มข้น แม้ลิเวอร์พูลจะนำห่าง แต่ต้องจับตาผลการแข่งขันในนัดถัดไปที่จะเป็นตัวตัดสินว่าอาร์เซนอลจะสามารถไล่ทันได้หรือไม่

    วิตามินและอาหารเสริมที่ควรเลี่ยงตอนกลางคืน มีอะไรบ้าง

    วิตามินและอาหารเสริมที่ควรเลี่ยงตอนกลางคืน มีอะไรบ้าง


    มีหลายเหตุผลที่คุณไม่ควรรับประทานอาหารเสริมบางชนิดในเวลากลางคืน ตัวอย่างเช่น อาหารเสริมบางประเภทอาจมีน้ำตาลหรือคาเฟอีน ซึ่งอาจรบกวนการนอนหลับได้ อีกทั้งวิตามินบางชนิดที่ละลายในไขมัน เช่น วิตามินเอ ดี อี และเค ควรรับประทานพร้อมอาหารเพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้น แต่ไม่แนะนำให้รับประทานอาหารมื้อใหญ่ในช่วงเย็น อาหารเสริม 6 ชนิดต่อไปนี้จึงเหมาะสำหรับการรับประทานในช่วงเช้าหรือกลางวันมากกว่า

    6 วิตามินและอาหารเสริมที่ไม่ควรรับประทานตอนกลางคืน

    1. วิตามินบี

    วิตามินบีควรรับประทานในตอนเช้า เนื่องจากมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนอาหารให้เป็นพลังงานและช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า วิตามินบี 12 โดยเฉพาะสามารถช่วยลดความเหนื่อยล้าและอาการซึมเศร้าได้ อย่างไรก็ตาม วิตามินบีอาจมีผลกระตุ้นการเผาผลาญ ทำให้เกิดปัญหานอนไม่หลับหากรับประทานในช่วงดึก โชคดีที่วิตามินบีละลายในน้ำ สามารถรับประทานได้โดยไม่จำเป็นต้องมีอาหารรองท้อง

    2. วิตามินรวมและสมุนไพรที่ให้พลังงาน

    วิตามินรวมมักมีวิตามินบีและสารให้พลังงานอื่นๆ เช่น คาเฟอีน สารสกัดจากชาเขียว และโคเอนไซม์คิวเทน ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพการนอนหลับ นอกจากนี้ สมุนไพรที่ช่วยกระตุ้นพลังงาน เช่น กัวรานา โสม และหน่อไม้ฝรั่ง ก็ควรหลีกเลี่ยงในช่วงกลางคืน

    3. วิตามินดี

    วิตามินดีเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน และควรรับประทานพร้อมอาหารที่มีไขมันเพื่อช่วยเพิ่มการดูดซึม มีงานวิจัยพบว่า การรับประทานวิตามินดีในปริมาณมากอาจลดการผลิตเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยในการนอนหลับ เนื่องจากวิตามินดีมักเชื่อมโยงกับแสงแดด ร่างกายอาจเข้าใจผิดว่าควรตื่นตัวมากกว่าพักผ่อน ดังนั้นการรับประทานวิตามินดีในเวลากลางคืนอาจรบกวนการนอนหลับได้

    4. แคลเซียม

    แม้ว่าการรับประทานแคลเซียมในเวลากลางคืนจะไม่รบกวนการนอนหลับโดยตรง แต่แคลเซียมอาจลดประสิทธิภาพของแมกนีเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและนอนหลับได้ดีขึ้น นอกจากนี้ วิตามินดีช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม ดังนั้นจึงควรรับประทานทั้งสองชนิดในช่วงกลางวันหรือมื้ออาหารหลัก และควรแบ่งการรับประทานแคลเซียมเป็น 2 ครั้ง ครั้งละ 500-600 มก. เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองจากการได้รับแคลเซียมมากเกินไป

    5. วิตามินซี

    วิตามินซีสามารถละลายในน้ำและย่อยได้ง่ายแม้รับประทานขณะท้องว่าง อย่างไรก็ตาม วิตามินซีมีความเป็นกรดสูง อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองกระเพาะอาหาร โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคกรดไหลย้อน การรับประทานวิตามินซีในตอนเย็นอาจไม่เหมาะสมสำหรับบางคน การเลือกวิตามินซีรูปแบบที่ไม่เป็นกรด เช่น แคลเซียมแอสคอร์เบต อาจช่วยลดการระคายเคืองได้

    6. สังกะสี

    สังกะสีเป็นแร่ธาตุสำคัญที่มักพบในวิตามินรวม หรือรับประทานร่วมกับวิตามินซี การดูดซึมของสังกะสีมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อรับประทานขณะท้องว่าง แต่ก็อาจทำให้เกิดอาการปวดท้องได้ ดังนั้นควรรับประทานพร้อมอาหารที่ไม่มีผลิตภัณฑ์จากนม เนื่องจากสังกะสีแข่งขันกับธาตุเหล็กและแคลเซียมในการดูดซึม ซึ่งอาจลดประสิทธิภาพของกันและกันหากรับประทานร่วมกันในช่วงดึก

    สรุป

    หากต้องการให้การรับประทานวิตามินและอาหารเสริมมีประสิทธิภาพสูงสุด ควรพิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสมในการรับประทาน วิตามินและอาหารเสริมที่ช่วยเพิ่มพลังงานหรือกระตุ้นการเผาผลาญ เช่น วิตามินบี วิตามินดี และวิตามินรวม ควรรับประทานในช่วงเช้าหรือกลางวัน ในขณะที่วิตามินหรือแร่ธาตุที่ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย เช่น แมกนีเซียม ควรรับประทานในช่วงเย็นเพื่อช่วยในการนอนหลับ การเลือกเวลาที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์จากอาหารเสริมอย่างเต็มที่โดยไม่รบกวนการพักผ่อนของร่างกาย

    เชลซี พบ เซาธ์แฮมป์ตัน

    เชลซีถล่มเซาธ์แฮมป์ตัน 4-0 โชว์ฟอร์มโหดในบ้าน

    เชลซี พบ เซาธ์แฮมป์ตัน แฟนบอลสิงห์บลูส์ได้เฮกันลั่นสนามสแตมฟอร์ดบริดจ์ เมื่อเชลซีเปิดบ้านถล่มเซาธ์แฮมป์ตันไปอย่างขาดลอย 4-0 ในศึกพรีเมียร์ลีกอังกฤษ คืนวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568

    เกมนี้เชลซีโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะเกมรุกที่เฉียบคม เริ่มต้นด้วยประตูขึ้นนำจากคริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู ในนาทีที่ 24 ตามมาด้วยเปโดร เนโต้ ในนาทีที่ 36 และลีวาย โคลวิลล์ ในช่วงท้ายครึ่งแรก ครึ่งหลังเชลซียังคงครองเกมได้เหนือกว่า และได้ประตูตอกย้ำชัยชนะจากมาร์ก กูกูเรยา ในนาทีที่ 78

    ชัยชนะครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเชลซีในการทำประตู และเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับแฟนบอลในการลุ้นทำอันดับในพรีเมียร์ลีก

    วิธีกินอาหารให้ถูกลำดับ เพิ่มการเผาผลาญ ลดน้ำหนักง่ายขึ้น

    การรับประทานอาหารในแต่ละวันมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพ เนื่องจากอาหารเป็นแหล่งพลังงานและสารอาหารที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก อาจสงสัยว่าทำไมแม้จะทานอาหารน้อยลงแต่น้ำหนักยังไม่ลดลง บางครั้งปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่ปริมาณอาหารเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ลำดับการรับประทานอาหาร การจัดลำดับการทานให้เหมาะสมสามารถช่วยให้การลดน้ำหนักมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงช่วยเสริมระบบเผาผลาญของร่างกายให้ทำงานได้ดีขึ้น

    ลำดับการรับประทานอาหารที่เหมาะสม

    1. ดื่มน้ำก่อนอาหาร
    เริ่มต้นมื้ออาหารด้วยการดื่มน้ำเปล่า จะช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหาร ทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ส่งผลให้ทานอาหารในปริมาณที่เหมาะสมมากขึ้น

    2. ทานผักและโปรตีนก่อน
    หลังจากดื่มน้ำ ควรเริ่มต้นมื้ออาหารด้วยผักหรือสลัดที่มีไฟเบอร์สูง เพราะใยอาหารช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล ลดระดับน้ำตาลในเลือด และทำให้อิ่มเร็วขึ้น จากนั้นจึงตามด้วยโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ หรือเต้าหู้ ซึ่งช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและกระตุ้นระบบเผาผลาญให้ทำงานได้ดีขึ้น

    3. ทานคาร์โบไฮเดรตเป็นลำดับสุดท้าย
    ข้าว แป้ง และน้ำตาล เป็นแหล่งพลังงานที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่ควรรับประทานเป็นลำดับสุดท้ายและในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อลดการกระตุ้นอินซูลินที่ทำให้เกิดไขมันสะสม การกินคาร์โบไฮเดรตหลังโปรตีนและไฟเบอร์ยังช่วยให้ร่างกายค่อยๆ ดูดซึมน้ำตาล ลดความเสี่ยงของระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูง

    สรุป

    การเรียงลำดับการทานอาหารใหม่ โดยเริ่มจาก ดื่มน้ำ → ผักและโปรตีน → คาร์โบไฮเดรต สามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ส่งเสริมการเผาผลาญ และช่วยให้การลดน้ำหนักได้ผลดียิ่งขึ้น นอกจากการจัดลำดับอาหารแล้ว อย่าลืมเลือกอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว

    ผ้าเปียกฝน ต้องซักใหม่ไหม

    ผ้าเปียกฝน ต้องซักใหม่ไหม? ไขข้อสงสัย พร้อมวิธีดูแลผ้าช่วงหน้าฝน

    ช่วงหน้าฝน หลายคนคงเคยเจอปัญหาผ้าที่ตากไว้เปียกฝน หรือเสื้อผ้าที่ใส่เปียกฝนจนชุ่ม แล้วต้องทำอย่างไรกับผ้าเหล่านั้น? ผ้าเปียกฝน ต้องซักใหม่ไหม? วันนี้เรามีคำตอบและเคล็ดลับดีๆ ในการดูแลผ้าช่วงหน้าฝนมาฝากกันค่ะ

    ผ้าเปียกฝน ต้องซักใหม่ไหม?

    คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ค่ะ

    • ถ้าฝนตกปรอยๆ หรือผ้าเปียกเล็กน้อย:
      • หากผ้าเปียกฝนเพียงเล็กน้อย และไม่มีคราบสกปรกติดอยู่ สามารถนำไปผึ่งลมให้แห้งได้เลย
      • แต่ถ้าผ้ามีกลิ่นอับชื้น ควรซักเพื่อกำจัดกลิ่นและป้องกันเชื้อรา
    • ถ้าฝนตกหนัก หรือผ้าเปียกชุ่ม:
      • ควรซักผ้าทันที เพราะน้ำฝนอาจมีสิ่งสกปรกและเชื้อโรคปะปนอยู่
      • การปล่อยผ้าเปียกชื้นทิ้งไว้ จะทำให้เกิดกลิ่นอับชื้น เชื้อรา และคราบสกปรกฝังแน่นได้

    ทำไมผ้าเปียกฝนถึงต้องดูแลเป็นพิเศษ?

    • เชื้อราและแบคทีเรีย: ความชื้นจากฝนเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของเชื้อราและแบคทีเรีย ทำให้ผ้ามีกลิ่นอับและอาจก่อให้เกิดโรคผิวหนัง
    • คราบสกปรก: น้ำฝนอาจมีสิ่งสกปรก เช่น ฝุ่นละออง คราบดิน หรือสารเคมีปนเปื้อน ทำให้ผ้าสกปรกและมีคราบฝังแน่น
    • กลิ่นอับชื้น: ผ้าที่เปียกชื้นและไม่แห้งสนิท จะมีกลิ่นอับชื้นที่ไม่พึงประสงค์

    เคล็ดลับดูแลผ้าช่วงหน้าฝน

    • ซักผ้าทันที: หากเสื้อผ้าเปียกฝน ควรซักทันทีเพื่อป้องกันคราบสกปรกฝังแน่นและกลิ่นอับชื้น
    • ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ: ในการซักผ้า ควรเติมน้ำยาฆ่าเชื้อเพื่อกำจัดเชื้อราและแบคทีเรีย
    • ตากผ้าในที่อากาศถ่ายเท: หากไม่สามารถตากแดดได้ ควรตากผ้าในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก เพื่อให้ผ้าแห้งเร็ว
    • ใช้เครื่องอบผ้า: หากมีเครื่องอบผ้า จะช่วยให้ผ้าแห้งเร็วและป้องกันกลิ่นอับชื้นได้
    • รีดผ้า: การรีดผ้าด้วยความร้อน จะช่วยฆ่าเชื้อโรคและทำให้ผ้าเรียบสวย

    วิธีขจัดกลิ่นอับชื้นบนผ้า

    • แช่ผ้าด้วยน้ำส้มสายชู: ผสมน้ำส้มสายชู 2-3 ถ้วยตวงกับน้ำ 1-2 ลิตร แช่ผ้าทิ้งไว้อย่างน้อย 1 ชั่วโมง แล้วซักตามปกติ
    • ใช้เบกกิ้งโซดา: เติมเบกกิ้งโซดา 1/2 ถ้วยตวงลงในเครื่องซักผ้าพร้อมกับผงซักฟอก จะช่วยขจัดกลิ่นอับชื้นได้
    • ต้มผ้า: หากผ้ามีกลิ่นอับชื้นมาก สามารถนำไปต้มในน้ำเดือดนาน 15 นาที ถึง 1 ชั่วโมง แล้วซักตามปกติ

    ข้อควรระวัง

    • ควรอ่านป้ายสัญลักษณ์การดูแลรักษาผ้าก่อนทำความสะอาด เพื่อป้องกันผ้าชำรุด
    • หากมีอาการคันหรือระคายเคืองผิวหนังหลังสวมใส่ผ้าที่เปียกฝน ควรรีบไปพบแพทย์
    อาหารมื้อเล็กๆ บ่อยๆ ดีจริงหรือ? เผยความจริงเกี่ยวกับการเผาผลาญและระดับน้ำตาลในเลือด

    อาหารมื้อเล็กๆ บ่อยๆ ดีจริงหรือ? เผยความจริงเกี่ยวกับการเผาผลาญและระดับน้ำตาลในเลือด

    ความถี่ของมื้ออาหาร: ควรกินวันละกี่มื้อจึงจะดีที่สุด?

    มีข้อมูลที่หลากหลายเกี่ยวกับจำนวนมื้ออาหารที่ “เหมาะสมที่สุด” ผู้เชี่ยวชาญบางคนแนะนำให้กินอาหารเช้าเพื่อกระตุ้นการเผาผลาญ และแบ่งอาหารออกเป็น 5-6 มื้อต่อวันเพื่อรักษาการเผาผลาญให้คงที่ อย่างไรก็ตาม งานวิจัยที่ผ่านมายังให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน และยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าการกินอาหารบ่อยขึ้นช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่

    บทความนี้จะพาคุณสำรวจว่าควรกินอาหารกี่มื้อต่อวัน พร้อมวิเคราะห์ผลกระทบด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้อง

    การกินอาหารบ่อยขึ้นช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญหรือไม่?

    อัตราการเผาผลาญคือปริมาณแคลอรี่ที่ร่างกายใช้ไปในแต่ละวัน มีความเชื่อว่าการกินอาหารมื้อเล็กๆ บ่อยครั้งจะช่วยเร่งการเผาผลาญ แต่ในความเป็นจริง นี่เป็นเพียงความเข้าใจผิด

    แม้ว่าการย่อยอาหารจะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญได้เล็กน้อย ซึ่งเรียกว่า Thermic Effect of Food (TEF) หรือ “ผลกระทบทางความร้อนของอาหาร” แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ ปริมาณอาหารรวมที่รับประทานในแต่ละวัน ไม่ใช่จำนวนมื้อ

    ตัวอย่างเช่น

    • หากกิน 3 มื้อต่อวัน มื้อละ 800 แคลอรี่
    • หรือกิน 6 มื้อต่อวัน มื้อละ 400 แคลอรี่

    ปริมาณพลังงานที่ใช้ในการย่อยอาหารก็จะเท่ากัน ไม่ได้มีผลต่อการเผาผลาญแต่อย่างใด งานวิจัยหลายฉบับสรุปว่า ไม่มีหลักฐานว่าการแบ่งมื้ออาหารเพิ่มขึ้นช่วยเร่งการเผาผลาญหรือทำให้เผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น

    การกินอาหารบ่อยขึ้นช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดความหิวได้หรือไม่?

    บางคนเชื่อว่าการกินบ่อยๆ จะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ และลดความอยากอาหาร แต่การศึกษากลับพบว่า การกินอาหารมื้อใหญ่แต่น้อยมื้ออาจดีกว่า

    • คนที่กินมื้อใหญ่น้อยมื้อมีระดับน้ำตาลเฉลี่ยต่ำกว่า แม้จะมีการพุ่งขึ้นของน้ำตาลเป็นช่วงๆ แต่โดยรวมยังต่ำกว่าผู้ที่กินมื้อย่อยบ่อยๆ
    • การกินมื้อใหญ่แต่น้อยมื้อช่วยเพิ่มความอิ่ม ลดความหิวได้ดีกว่าการกินบ่อยๆ

    นอกจากนี้ งานวิจัยยังระบุว่า การกินอาหารเช้าอาจช่วยปรับสมดุลระดับน้ำตาลในเลือดได้ การกินมื้อหนักในช่วงเช้าอาจช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดโดยรวมของวันลดลง

    ควรกินอาหารเช้าหรือไม่?

    “อาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดของวัน” จริงหรือ?

    หลายคนเชื่อว่าอาหารเช้าจำเป็นต่อการกระตุ้นการเผาผลาญและช่วยลดน้ำหนัก งานวิจัยเชิงสังเกตพบว่าผู้ที่งดอาหารเช้ามักมีแนวโน้มเป็นโรคอ้วนมากกว่า แต่ไม่ได้หมายความว่าอาหารเช้าเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยลดน้ำหนัก

    สาเหตุอาจเป็นเพราะคนที่กินอาหารเช้าส่วนใหญ่มักมีพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพโดยรวม เช่น เลือกอาหารที่มีประโยชน์มากกว่า ในขณะที่คนที่งดอาหารเช้าอาจมีแนวโน้มเลือกอาหารที่มีแคลอรี่สูงในมื้อต่อไป

    อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานว่าการกินอาหารเช้าช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ หรือช่วยลดน้ำหนักได้โดยตรง

    สำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือมีปัญหาระดับน้ำตาลในเลือด อาหารเช้าอาจช่วยควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีขึ้น การศึกษาพบว่าการงดอาหารเช้าทำให้ระดับน้ำตาลพุ่งสูงขึ้นหลังจากกินมื้อกลางวันและมื้อเย็น

    การอดอาหารเป็นช่วงๆ ดีต่อสุขภาพหรือไม่?

    Intermittent Fasting (IF) หรือการอดอาหารเป็นช่วงๆ กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น โดยอาจเป็นการงดอาหารบางมื้อ หรืออดอาหารยาวนาน 24 ชั่วโมงเป็นครั้งคราว

    แม้บางคนจะกังวลว่าอาจทำให้ร่างกายเข้าสู่ “โหมดอดอยาก” และสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ แต่งานวิจัยพบว่า การอดอาหารช่วงสั้นอาจช่วยเพิ่มการเผาผลาญในระยะเริ่มต้น ก่อนที่การเผาผลาญจะลดลงเมื่ออดอาหารเป็นเวลานาน

    https://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?gdpr=0&client=ca-pub-7805754432663340&output=html&h=280&adk=3019572609&adf=3980772412&pi=t.aa~a.858031026~i.26~rp.4&w=960&abgtt=9&fwrn=4&fwrnh=100&lmt=1740470379&num_ads=1&rafmt=1&armr=3&sem=mc&pwprc=1424552520&ad_type=text_image&format=960×280&url=https%3A%2F%2Ftaryeeblogger.blogspot.com%2F2025%2F02%2Fblog-post_24.html&host=ca-host-pub-1556223355139109&fwr=0&pra=3&rh=200&rw=960&rpe=1&resp_fmts=3&wgl=1&fa=27&uach=WyJXaW5kb3dzIiwiMTUuMC4wIiwieDg2IiwiIiwiMTMxLjAuNjc3OC4yNjUiLG51bGwsMCxudWxsLCI2NCIsW1siR29vZ2xlIENocm9tZSIsIjEzMS4wLjY3NzguMjY1Il0sWyJDaHJvbWl1bSIsIjEzMS4wLjY3NzguMjY1Il0sWyJOb3RfQSBCcmFuZCIsIjI0LjAuMC4wIl1dLDBd&dt=1740470427731&bpp=2&bdt=4478&idt=2&shv=r20250220&mjsv=m202502200101&ptt=9&saldr=aa&abxe=1&cookie=ID%3Da33fdf45aef7f962%3AT%3D1726473877%3ART%3D1740470426%3AS%3DALNI_MZPjHA5MNTNdmakeIiVR7v32wIFBQ&gpic=UID%3D00000f0b62bed474%3AT%3D1726473877%3ART%3D1740470426%3AS%3DALNI_MYinWxkikitY7B3yqYOQQpXw6Bjnw&eoidce=1&prev_fmts=0x0%2C1519x695%2C960x280&nras=4&correlator=4984707170277&frm=20&pv=1&u_tz=420&u_his=2&u_h=864&u_w=1536&u_ah=816&u_aw=1536&u_cd=24&u_sd=1.25&dmc=8&adx=107&ady=2266&biw=1519&bih=695&scr_x=0&scr_y=0&eid=95344789%2C95353420%2C95347433%2C95348348%2C95350016&oid=2&pvsid=3163947166122666&tmod=1202998381&uas=0&nvt=1&fc=384&brdim=0%2C0%2C0%2C0%2C1536%2C0%2C0%2C0%2C1536%2C695&vis=1&rsz=%7C%7Cs%7C&abl=NS&cms=1&fu=128&bc=31&bz=0&td=1&tdf=2&psd=W251bGwsbnVsbCxudWxsLDNd&nt=1&ifi=4&uci=a!4&btvi=2&fsb=1&dtd=36218

    งานวิจัยในมนุษย์และสัตว์ยังพบว่า การอดอาหารเป็นช่วงๆ มีประโยชน์หลายด้าน เช่น
    ✅ เพิ่มความไวต่ออินซูลิน
    ✅ ลดระดับน้ำตาลและอินซูลินในเลือด
    ✅ กระตุ้นกระบวนการออโตฟาจี (Autophagy) ซึ่งช่วยกำจัดของเสียระดับเซลล์และอาจชะลอความชรา

    สรุป

    ✅ การกินอาหารบ่อยขึ้นไม่ได้ช่วยให้เผาผลาญดีขึ้น และไม่ได้ช่วยให้ลดน้ำหนักได้
    ✅ การกินน้อยมื้ออาจดีกว่า ในแง่ของการควบคุมระดับน้ำตาลและลดความหิว
    ✅ อาหารเช้าอาจมีประโยชน์สำหรับบางคน โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาระดับน้ำตาลในเลือด แต่ไม่จำเป็นสำหรับทุกคน
    ✅ การอดอาหารเป็นช่วงๆ อาจช่วยปรับปรุงสุขภาพได้ แต่ควรทำอย่างเหมาะสม

    สุดท้ายแล้ว คำแนะนำที่ดีที่สุดเกี่ยวกับมื้ออาหารคือ ฟังร่างกายของตัวเอง
    🥗 เมื่อหิว ให้กิน
    🚫 เมื่ออิ่ม ให้หยุด

    ออกกำลังกายแบบไหน ลดน้ำหนักได้เร็วที่สุด? เปรียบเทียบ 10 วิธีที่ได้ผลจริง

    ออกกำลังกายแบบไหน ลดน้ำหนักได้เร็วที่สุด? เปรียบเทียบ 10 วิธีที่ได้ผลจริง


    10 วิธีออกกำลังกายลดน้ำหนัก ที่ช่วยให้หุ่นเฟิร์มเร็วที่สุด

    การออกกำลังกายเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการลดน้ำหนักและกระชับสัดส่วน แต่คำถามคือ วิธีไหนช่วยให้เห็นผลเร็วที่สุด? หากคุณต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็ว เราได้รวบรวม 10 วิธีออกกำลังกายที่ช่วยเผาผลาญแคลอรีได้ดีเยี่ยม มาให้คุณเลือกวิธีที่เหมาะกับตัวเองที่สุด

    1. การวิ่ง (Running)

    การวิ่งเป็นวิธีที่ง่ายและได้ผลเร็วในการเผาผลาญแคลอรี เพียงแค่วิ่งต่อเนื่อง 30-45 นาที สามารถเผาผลาญแคลอรีได้มากถึง 300-500 แคลอรี ต่อครั้ง อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับหัวใจและปอด

    2. การกระโดดเชือก (Jump Rope)

    การกระโดดเชือกเป็นคาร์ดิโอที่เข้มข้นสูง สามารถช่วยเผาผลาญไขมันและลดน้ำหนักได้เร็ว การกระโดดเชือกเพียง 30 นาที สามารถเผาผลาญได้มากถึง 400-500 แคลอรี ต่อครั้ง

    3. การปั่นจักรยาน (Cycling)

    การปั่นจักรยานช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงาน โดยการปั่นด้วยความเร็วปานกลางเป็นเวลา 45 นาที สามารถเผาผลาญได้ถึง 400-600 แคลอรี และสามารถเลือกปั่นได้ทั้งกลางแจ้งหรือในฟิตเนส

    4. การฝึก HIIT (High-Intensity Interval Training)

    HIIT คือการออกกำลังกายแบบหนักสลับเบา ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยเผาผลาญแคลอรีได้ดีที่สุด แม้จะจบการออกกำลังกายไปแล้ว ร่างกายยังคงเผาผลาญพลังงานต่อเนื่อง

    5. การยกน้ำหนัก (Weight Lifting)

    การยกน้ำหนักช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ แม้ว่าจะเผาผลาญแคลอรีไม่เท่าคาร์ดิโอ แต่กล้ามเนื้อที่มากขึ้นจะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้ตลอดทั้งวัน

    6. การเดินเร็ว (Brisk Walking)

    เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการออกกำลังกายที่หนักเกินไป การเดินเร็ว 30-60 นาที สามารถเผาผลาญได้ถึง 200-300 แคลอรี และช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ

    7. การว่ายน้ำ (Swimming)

    ว่ายน้ำช่วยเผาผลาญไขมันและเสริมสร้างกล้ามเนื้อไปพร้อมกัน การว่ายน้ำ 30 นาที สามารถเผาผลาญได้ถึง 400-500 แคลอรี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับท่าว่ายที่ใช้

    8. การปั่นจักรยานที่บ้าน (Stationary Bike)

    เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการออกกำลังกายในบ้าน สามารถปรับระดับความเข้มข้นได้ โดยสามารถเผาผลาญแคลอรีได้มากถึง 400-600 แคลอรีต่อชั่วโมง

    9. การออกกำลังกายแบบเต้น (Dancing)

    การเต้น เช่น ซุมบ้า หรือแอโรบิก เป็นวิธีที่สนุกและช่วยเผาผลาญพลังงานได้ดีมาก สามารถเผาผลาญแคลอรีได้ใกล้เคียงกับการออกกำลังกายคาร์ดิโออื่น ๆ

    10. การฝึกโยคะ (Yoga)

    แม้ว่าจะไม่ได้เผาผลาญแคลอรีสูงเหมือนคาร์ดิโอ แต่โยคะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น คลายความเครียด และช่วยควบคุมน้ำหนักในระยะยาว

    สรุป

    หากคุณต้องการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว การฝึก HIIT, การวิ่ง หรือการกระโดดเชือก คือวิธีที่ดีที่สุด แต่ถ้าชอบออกกำลังกายแบบชิล ๆ การเดินเร็วหรือโยคะ ก็เป็นทางเลือกที่ดี ทั้งนี้ การเลือกออกกำลังกายให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์และความฟิตของร่างกายจะช่วยให้เห็นผลได้ดีที่สุด 🎯💪


    เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

    ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

    คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

    ยอมรับทั้งหมด
    จัดการความเป็นส่วนตัว
    • เปิดใช้งานตลอด

    บันทึกการตั้งค่า