ข่าวสารวันนี้

ส่องข่าวสาร แวดวงการเมือง อัปเดตรายวัน

    ปอกมะม่วงสุกยังไงให้เนื้อสวย? เคล็ดลับง่ายๆ ที่หลายคนไม่เคยรู้

    ปอกมะม่วงสุกยังไงให้เนื้อสวย? เคล็ดลับง่ายๆ ที่หลายคนไม่เคยรู้

    ปอกมะม่วงสุกยังไงให้เนื้อสวย? เคล็ดลับง่ายๆ ที่หลายคนไม่เคยรู้


    ช่วงนี้มะม่วงออกสู่ตลาดมากมาย ทั้งมะม่วงสุกและมะม่วงดิบ สำหรับคนที่ชื่นชอบการทานมะม่วง คงอยากรู้วิธีปอกมะม่วงให้เนื้อสีเหลืองสวย ไม่ดำคล้ำ ดูน่ารับประทาน โดยเฉพาะการปอกมะม่วงสุก ซึ่งมีเนื้ออ่อนและช้ำง่าย เรามีเทคนิคพิเศษมาฝาก

    วิธีปอกมะม่วงสุกให้เนื้อสวย ไม่ดำ

    ✅ ล้างมะม่วงให้สะอาด เพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่ผิว
    ✅ ใส่ถุงมือก่อนปอก ป้องกันคราบมือทำให้เนื้อมะม่วงเปลี่ยนสี
    ✅ ใช้มีดคมกริบ ลดการกดทับและทำให้เนื้อเรียบเนียน
    ✅ เริ่มปอกจากขั้วมะม่วง ค่อยๆ ลอกเปลือกลงมาตามแนวผล
    ✅ ปอกเปลือกบางๆ เพื่อให้เนื้อมะม่วงสัมผัสอากาศน้อยลง ลดการเปลี่ยนสี
    ✅ ใช้เปลือกมะม่วงที่ปอกแล้วคลุมเนื้อไว้ ช่วยป้องกันการสัมผัสอากาศโดยตรง
    ✅ ปอกอีกด้านด้วยวิธีเดียวกัน จากนั้นหั่นชิ้นตามต้องการ
    ✅ แช่เนื้อมะม่วงในน้ำสะอาดผสมเกลือเล็กน้อย (เกลือ 1 ช้อนชาต่อน้ำ 1 ถ้วย) เพื่อลดการเปลี่ยนสี
    ✅ หั่นใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ

    เทคนิคพิเศษ

    🔸 ใช้มีดที่คมและสะอาด เพื่อลดเสี้ยนและความช้ำของเนื้อ
    🔸 แช่มะม่วงในน้ำเกลือสักครู่ จะช่วยให้เนื้อคงสีสวยนานขึ้น
    🔸 หลีกเลี่ยงการสัมผัสเนื้อมะม่วงโดยตรง เพราะเอนไซม์จากมืออาจทำให้สีเปลี่ยนเร็วขึ้น

    เพียงเท่านี้ ก็สามารถเพลิดเพลินกับมะม่วงสุกสีเหลืองทอง หอมหวาน น่ารับประทานได้แล้ว!

    เปิดเคล็ดลับไหว้ไฉ่ซิงเอี๊ย 2568 ให้เฮง! ของไหว้ ทิศมงคล และข้อห้ามที่ต้องรู้

    เปิดเคล็ดลับไหว้ไฉ่ซิงเอี๊ย 2568 ให้เฮง! ของไหว้ ทิศมงคล และข้อห้ามที่ต้องรู้


    ไฉ่ซิงเอี๊ย เทพเจ้าแห่งโชคลาภ
     ความมั่งคั่ง และความสำเร็จ ซึ่งได้รับการเคารพบูชาอย่างกว้างขวาง ตามความเชื่อ ไฉ่ซิงเอี๊ยจะเสด็จลงมาประทานพรให้แก่ผู้ศรัทธาเพียงปีละครั้งในช่วงตรุษจีน สำหรับปี 2568 หลายคนอาจสงสัยว่า ควรไหว้ไฉ่ซิงเอี๊ยเวลาใด ล่าสุดในงาน centralwOrld The Great Chinese New Year 2024 ‘Sanook’ ได้พูดคุยกับ หมอช้าง ทศพร ศรีตุลา นักพยากรณ์ชื่อดัง ซึ่งได้เผยฤกษ์ไหว้ที่เป็นมงคล พร้อมเคล็ดลับเสริมโชคให้เฮงตลอดปี

    ฤกษ์มงคลไหว้ไฉ่ซิงเอี๊ย 2568

    หมอช้าง แนะนำว่า ควรเริ่มไหว้เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ยในคืนวันที่ 28 มกราคม 2568 ตั้งแต่เวลา 23.00 น. – 01.00 น. (ตี 1) ของวันที่ 29 มกราคม 2568

    เคล็ดลับไหว้ไฉ่ซิงเอี๊ยให้เฮงตลอดปี

    • ทิศมงคล: ขณะไหว้ให้หันหน้าไปทาง ทิศเหนือ
    • ของไหว้: ควรใช้ อาหารเจ ทั้งหมด งดเนื้อสัตว์
    • สิ่งของเสริมโชค: สามารถวาง กระเป๋าสตางค์ หรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับการเงินเพื่อเสริมความมั่งคั่ง
    • เสริมสิริมงคล: นำน้ำสะอาดและใบทับทิมมาประพรมเพื่อความเป็นสิริมงคล
    • ผลไม้มงคล: ผลไม้ที่ใช้ไหว้สามารถนำมารับประทานได้ เพื่อเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ด้วยความโชคดี

    ข้อห้ามสำคัญในการไหว้ไฉ่ซิงเอี๊ย 2568

    ❌ ห้ามให้ผู้ที่เกิดปี “กุน” เป็นคนแรกที่เริ่มไหว้ไฉ่ซิงเอี๊ย เนื่องจากเชื่อว่าอาจส่งผลกระทบต่อโชคลาภ

    เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการไหว้ไฉ่ซิงเอี๊ยปี 2568 เพื่อเสริมโชคลาภ ความมั่งคั่ง และความเจริญรุ่งเรืองตลอดปี! 🎉

    กรมราชทัณฑ์แจง! ข่าวลือ “กันต์ กันตถาวร” จบชีวิตในเรือนจำ ไม่เป็นความจริง

    กรมราชทัณฑ์แจง! ข่าวลือ “กันต์ กันตถาวร” จบชีวิตในเรือนจำ ไม่เป็นความจริง


    นางกนกวรรณ จิ๋วเชื้อพันธุ์ ผู้อำนวยการกองทัณฑวิทยา และรักษาการผู้อำนวยการทัณฑสถานหญิงกลาง ในฐานะรองโฆษกกรมราชทัณฑ์ ออกมาชี้แจงกรณีที่มีข่าวลือแพร่สะพัดในโลกออนไลน์ว่า กันต์ กันตถาวร หนึ่งในจำเลยคดี “ดิ ไอคอน” ได้จบชีวิตตัวเองภายในเรือนจำ โดยข่าวลือดังกล่าวอ้างว่า เจ้าตัวเกิดความเครียดหนัก หลังจากที่ มิน พีชญา และ แซม ยุรนันท์ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีเดียวกัน ได้รับการปล่อยตัวหลังอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง ขณะที่ตนเองยังคงถูกคุมขังอยู่

    นางกนกวรรณระบุว่า ขณะนี้กรมราชทัณฑ์ยังไม่ได้รับรายงานใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว พร้อมยืนยันว่า กันต์ กันตถาวร มีสุขภาพร่างกายปกติ ไม่ได้ร้องขอพบแพทย์ และไม่มีอาการเครียดอย่างที่เป็นข่าว ทั้งนี้ เธอยังย้ำว่าข่าวลือนี้ไม่มีที่มาที่ไป เป็นเพียงกระแสที่ถูกแชร์ในโซเชียลมีเดียเท่านั้น และจนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายงานยืนยันจากกรมราชทัณฑ์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว

    เธอขอความร่วมมือจากประชาชนให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนแชร์ข้อมูล เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดและการเผยแพร่ข่าวลวงที่อาจสร้างความตื่นตระหนกในสังคม

    วิธีบํารุงกระดูก

    บำรุงกระดูกให้แข็งแรง สุขภาพดี ตลอดชีวิต

    กระดูกเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย ช่วยรองรับน้ำหนักและปกป้องอวัยวะภายใน การมีกระดูกที่แข็งแรงจึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อสุขภาพที่ดี การบำรุงกระดูกให้แข็งแรงสามารถทำได้หลายวิธี ทั้งการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย และการดูแลสุขภาพโดยรวม

    วิธีบำรุงกระดูกให้แข็งแรง

    1. รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง

    • นมและผลิตภัณฑ์จากนม: นม โยเกิร์ต ชีส เป็นแหล่งแคลเซียมที่สำคัญ
    • ผักใบเขียวเข้ม: ผักขม คะน้า บรอกโคลี อุดมไปด้วยแคลเซียม
    • ปลาเล็กปลาน้อย: ปลาซาร์ดีน กุ้งแห้ง มีแคลเซียมสูง
    • ถั่วต่างๆ: ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วลิสง
    • อาหารเสริมแคลเซียม: ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน

    2. รับประทานอาหารที่มีวิตามินดีสูง

    • แสงแดด: การรับแสงแดดอ่อนๆ ในตอนเช้า ช่วยให้ร่างกายสร้างวิตามินดี
    • อาหาร: ปลาทะเล ปลาแซลมอน ไข่แดง เห็ด

    3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

    • ออกกำลังกายแบบแบกน้ำหนัก: เช่น วิ่ง เต้นแอโรบิก ยกน้ำหนัก ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์กระดูกใหม่
    • ออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแรง: เช่น โยคะ ปี่ลาเตส ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและเอ็น

    4. หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง

    • งดสูบบุหรี่: นิโคตินทำลายกระดูก
    • ลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: ทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้น้อยลง
    • ควบคุมน้ำหนัก: น้ำหนักตัวมากเกินไปกดดันกระดูก

    5. ตรวจสุขภาพเป็นประจำ

    • ตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก: เพื่อประเมินสุขภาพกระดูกและค้นหาโรคกระดูกพรุนในระยะเริ่มต้น

    อาหารเสริมที่ช่วยบำรุงกระดูก

    นอกจากการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์แล้ว การทานอาหารเสริมก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการบำรุงกระดูก โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน หรือผู้ที่ขาดแคลเซียมและวิตามินดี แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานเสมอ

    โรคที่เกี่ยวข้องกับกระดูก

    • โรคกระดูกพรุน: กระดูกเปราะบางและหักง่าย
    • โรคข้อเสื่อม: ข้อต่อเสื่อมสภาพ
    • โรคอักเสบของข้อ: ข้ออักเสบและบวม

    สรุป

    การบำรุงกระดูกให้แข็งแรงเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพโดยรวม การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และดูแลสุขภาพโดยรวม จะช่วยให้เรามีกระดูกที่แข็งแรงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว

    จัดโต๊ะไหว้ตรุษจีน

    จัดโต๊ะไหว้ตรุษจีนให้งามและเป็นสิริมงคล

    เทศกาลตรุษจีนเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ชาวจีนทั่วโลกจะได้มารวมตัวกันเพื่อฉลองปีใหม่และแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษ การจัดโต๊ะไหว้ตรุษจีนจึงเป็นประเพณีที่สำคัญอย่างยิ่ง โดยการจัดโต๊ะไหว้ที่สวยงามและถูกต้องตามประเพณี จะช่วยเสริมสิริมงคลให้กับครอบครัวในปีใหม่

    วิธีจัดโต๊ะไหว้ตรุษจีน

    1. เลือกสถานที่: จัดโต๊ะไหว้ในบริเวณที่สะอาดเรียบร้อย มองเห็นได้ชัดเจน และมีแสงสว่างเพียงพอ
    2. จัดเตรียมของไหว้: ของไหว้ที่นิยมใช้ในการไหว้ตรุษจีน ได้แก่
      • ผลไม้: ส้ม (ส้มจีน), แอปเปิล, สาลี่, กล้วย, สับปะรด, ทับทิม (สื่อถึงความสมบูรณ์)
      • ขนม: ขนมเข่ง, ขนมเทียน, ขนมจีบ, ขนมเปี๊ยะ (สื่อถึงความหวานชื่น)
      • อาหารคาว: ไก่ต้ม, ปลาทอด, เนื้อสัตว์ (สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์)
      • ข้าวสวย: สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์
      • ธูป เทียน: ใช้สำหรับบูชา
      • กระดาษเงินกระดาษทอง: ใช้สำหรับบูชาบรรพบุรุษ
      • เครื่องดื่ม: ชาจีน, เหล้าจีน
    3. จัดวางของไหว้:
      • จุดศูนย์กลาง: วางรูปปั้นเทพเจ้าหรือภาพเทพเจ้าที่เคารพ
      • ด้านหน้า: วางกระถางธูป, เชิงเทียน, และแจกันดอกไม้
      • ด้านซ้าย: วางของคาว
      • ด้านขวา: วางของหวานและผลไม้
      • ด้านหลัง: วางข้าวสวย
    4. จุดธูปและไหว้: จุดธูปตามจำนวนที่เหมาะสม (มักจะเป็นเลขคู่) และอธิษฐานขอพรตามความเชื่อส่วนบุคคล
    5. การไหว้: ควรไหว้ด้วยความเคารพและตั้งใจ
    6. การเก็บของไหว้: หลังจากไหว้เสร็จ สามารถนำของไหว้ไปรับประทานได้

    ข้อควรระวังและข้อห้าม

    • จำนวนจาน: จำนวนจานควรเป็นเลขคู่ (ยกเว้นเลข 4)
    • สีของจาน: ไม่ควรใช้จานสีดำ
    • ทิศทาง: ควรจัดวางโต๊ะไหว้ให้หันหน้าไปทางทิศที่เป็นมงคล
    • ความสะอาด: ควรดูแลความสะอาดของโต๊ะไหว้และของไหว้ให้เรียบร้อย

    ความหมายของของไหว้

    • ส้ม: สื่อถึงความเป็นสิริมงคลและความโชคดี
    • แอปเปิล: สื่อถึงความสงบสุขและความเจริญ
    • สาลี่: สื่อถึงความมั่งคั่ง
    • กล้วย: สื่อถึงการเพิ่มพูน
    • สับปะรด: สื่อถึงความเจริญก้าวหน้า
    • ทับทิม: สื่อถึงความโชคดี

    สรุป

    การจัดโต๊ะไหว้ตรุษจีนเป็นประเพณีที่สวยงามและมีความหมาย การจัดโต๊ะไหว้ที่ถูกต้องจะช่วยเสริมสิริมงคลให้กับครอบครัวและเป็นการแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษ

    กลิ่นที่สุนัขไม่ชอบ

    กลิ่นที่สุนัขไม่ชอบ: สิ่งที่คุณควรรู้เพื่อเข้าใจเพื่อนซื่อสัตย์

    สุนัขมีประสาทสัมผัสที่ไวต่อกลิ่นเป็นอย่างมาก พวกเขามีความสามารถในการรับรู้กลิ่นได้ดีกว่ามนุษย์หลายเท่า ดังนั้น กลิ่นบางอย่างที่เราอาจไม่รู้สึกอะไร แต่สุนัขกลับรู้สึกรำคาญและไม่ชอบเป็นอย่างมาก วันนี้เราจะมาเจาะลึกถึงกลิ่นที่สุนัขไม่ชอบกัน เพื่อให้คุณสามารถดูแลและเข้าใจเพื่อนซื่อสัตย์ของคุณได้ดียิ่งขึ้น

    ทำไมสุนัขถึงไม่ชอบกลิ่นบางอย่าง?

    • สัญชาตญาณ: กลิ่นบางอย่างอาจกระตุ้นสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของสุนัข เช่น กลิ่นของสัตว์นักล่า หรือสารเคมีที่เป็นอันตราย
    • ความรู้สึกไม่สบาย: กลิ่นบางอย่างอาจทำให้สุนัขรู้สึกไม่สบายตัว เช่น กลิ่นฉุน กลิ่นเหม็น หรือกลิ่นที่ระคายเคืองจมูก
    • ประสบการณ์ที่ไม่ดี: หากสุนัขเคยมีประสบการณ์ไม่ดีที่เกี่ยวข้องกับกลิ่นใดกลิ่นหนึ่ง พวกเขาอาจมีความรู้สึกไม่ดีต่อกลิ่นนั้นไปตลอด

    กลิ่นที่สุนัขส่วนใหญ่ไม่ชอบ

    • กลิ่นของสัตว์นักล่า: สุนัขเป็นสัตว์ที่ถูกล่า ดังนั้นพวกเขาจึงมีสัญชาตญาณในการกลัวกลิ่นของสัตว์นักล่า เช่น หมาป่า เสือ หรือสัตว์เลื้อยคลาน
    • กลิ่นของสารเคมี: สารเคมีบางชนิด เช่น คลอรีน น้ำยาซักผ้า น้ำยาทำความสะอาด มีกลิ่นฉุนและระคายเคืองต่อจมูกของสุนัข
    • กลิ่นของอาหารบางชนิด: อาหารบางชนิด เช่น พริก หอมแดง กระเทียม มีกลิ่นฉุนและรสเผ็ด ซึ่งสุนัขไม่ชอบ
    • กลิ่นของยาและน้ำหอม: สุนัขมีจมูกที่ไวต่อกลิ่นมาก กลิ่นของยาและน้ำหอมที่แรงอาจทำให้สุนัขรู้สึกไม่สบายตัว
    • กลิ่นของปัสสาวะและอุจจาระของสัตว์อื่น: สุนัขสามารถรับรู้กลิ่นของปัสสาวะและอุจจาระของสัตว์อื่นได้อย่างชัดเจน และอาจรู้สึกไม่ปลอดภัยหากพบเจอกลิ่นเหล่านี้
    • กลิ่นของบุคคลที่สุนัขไม่ชอบ: สุนัขสามารถจดจำกลิ่นของคนได้ และหากเคยมีประสบการณ์ไม่ดีกับบุคคลใด พวกเขาอาจไม่ชอบกลิ่นของบุคคลนั้น

    วิธีการรับมือกับกลิ่นที่สุนัขไม่ชอบ

    • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีกลิ่นฉุน: เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้านที่ไม่มีกลิ่นฉุน หรือมีกลิ่นอ่อนๆ
    • สร้างสภาพแวดล้อมที่สะอาด: ทำความสะอาดบ้านให้สะอาดอยู่เสมอ เพื่อลดกลิ่นไม่พึงประสงค์
    • ระวังอาหารที่ให้สุนัขกิน: หลีกเลี่ยงการให้อาหารที่มีกลิ่นฉุนหรือรสจัดกับสุนัข
    • พาสุนัขไปพบสัตวแพทย์: หากสุนัขของคุณมีอาการผิดปกติ เช่น คัน หายใจติดขัด หรือมีน้ำมูกไหล อาจเกิดจากการแพ้กลิ่นบางชนิด ควรพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจสอบ

    สรุป

    การรู้จักกลิ่นที่สุนัขไม่ชอบ จะช่วยให้คุณสามารถดูแลและเข้าใจเพื่อนซื่อสัตย์ของคุณได้ดียิ่งขึ้น การสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและปราศจากกลิ่นที่น่ารำคาญ จะทำให้น้องหมาของคุณมีความสุขและมีสุขภาพที่ดี

    สมรสเท่าเทียม จดทะเบียน

    เตรียมตัวอย่างไรให้พร้อมสำหรับการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียม? คู่มือฉบับสมบูรณ์

    ขอแสดงความยินดีกับคู่รักทุกคู่ที่รอคอยวันนี้! การจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมเป็นก้าวสำคัญในชีวิตคู่ของคุณ เพื่อให้การจดทะเบียนเป็นไปอย่างราบรื่น ลองมาเตรียมตัวกันด้วยขั้นตอนเหล่านี้

    จดทะเบียนสมรสเท่าเทียม เตรียมอะไรบ้าง?

    • เตรียมเอกสารให้พร้อม: ก่อนวันนัดหมาย อย่าลืมเตรียมเอกสารสำคัญ เช่น บัตรประชาชน (ตัวจริง), สูติบัตร, หนังสือเดินทาง (สำหรับชาวต่างชาติ), และสัญญาก่อนสมรส (ถ้ามี)
    • เลือกสถานที่จดทะเบียน: คุณสามารถเลือกจดทะเบียนได้ที่สำนักงานเขต/อำเภอทั่วประเทศ หรือที่จุดบริการพิเศษ เช่น สยามพารากอน
    • ค่าใช้จ่าย: ค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนมีน้อยมาก หรือบางแห่งอาจไม่มีค่าใช้จ่าย
    • คำแนะนำเพิ่มเติม:
      • หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานเขต/อำเภอ หรือติดต่อสายด่วนของกรมการปกครอง
      • ควรเตรียมตัวล่วงหน้า เพื่อป้องกันความล่าช้า
      • อย่าลืมนำปากกาไปด้วย
      • เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการถ่ายรูปคู่
    สระผม น้ําอุ่น น้ําเย็น

    น้ำอุ่นหรือน้ำเย็น? สระผมแบบไหนดีกว่ากัน?

    การสระผมเป็นกิจวัตรประจำวันที่หลายคนให้ความสำคัญ แต่คำถามที่หลายคนสงสัยคือ การใช้ “น้ำอุ่น” หรือ “น้ำเย็น” ในการสระผม แบบไหนดีกว่ากัน? มาหาคำตอบพร้อมกันเลยค่ะ

    น้ำอุ่น: เปิดทางให้ความสะอาด

    • ข้อดี:
      • เปิดเกล็ดผม: น้ำอุ่นจะช่วยเปิดเกล็ดผม ทำให้แชมพูสามารถทำความสะอาดได้อย่างล้ำลึก ขจัดสิ่งสกปรก น้ำมัน และรังแคได้ดี
      • ผ่อนคลายหนังศีรษะ: ความอบอุ่นของน้ำช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อหนังศีรษะ ลดอาการตึงเครียด
    • ข้อควรระวัง:
      • ทำลายเส้นผม: หากใช้น้ำร้อนจัดเกินไป อาจทำให้เส้นผมแห้งเสีย และหนังศีรษะระคายเคืองได้
      • ทำให้สีผมจางเร็ว: สำหรับผู้ที่ย้อมสีผม การใช้น้ำร้อนจัดบ่อยๆ อาจทำให้สีผมจางเร็วขึ้น

    น้ำเย็น: ปิดเกล็ดผมให้เรียบลื่น

    • ข้อดี:
      • ปิดเกล็ดผม: น้ำเย็นจะช่วยปิดเกล็ดผม ทำให้เส้นผมเรียบลื่น เงางาม และลดปัญหาผมพันกัน
      • กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต: ช่วยให้หนังศีรษะรู้สึกสดชื่น กระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม
    • ข้อควรระวัง:
      • อาจไม่สะอาดหมดจด: หากใช้เพียงน้ำเย็น อาจทำให้แชมพูล้างออกไม่หมด ทำให้เกิดคราบสะสมบนหนังศีรษะได้

    เลือกใช้อุณหภูมิน้ำอย่างไรให้เหมาะสม?

    • น้ำอุ่น: เหมาะสำหรับผู้ที่มีหนังศีรษะมัน หรือมีปัญหาเรื่องรังแค
    • น้ำเย็น: เหมาะสำหรับผู้ที่มีผมแห้งเสีย หรือต้องการให้ผมเรียบลื่น
    • น้ำอุณหภูมิปานกลาง: เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่มีหนังศีรษะและเส้นผมปกติ

    เคล็ดลับเพิ่มเติม:

    • ล้างด้วยน้ำเย็น: ไม่ว่าจะสระผมด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำปกติ ควรล้างออกด้วยน้ำเย็นในขั้นตอนสุดท้าย เพื่อช่วยปิดเกล็ดผม
    • ปรับอุณหภูมิให้เหมาะสม: หลีกเลี่ยงการใช้น้ำร้อนหรือน้ำเย็นจัดเกินไป
    • ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผม: หลังจากสระผม ควรใช้คอนดิชันเนอร์หรือทรีทเมนต์เพื่อบำรุงเส้นผมให้แข็งแรง

    สรุป:

    การเลือกใช้น้ำอุ่นหรือน้ำเย็นในการสระผมขึ้นอยู่กับสภาพเส้นผมและหนังศีรษะของแต่ละบุคคล การใช้น้ำอุณหภูมิที่เหมาะสมจะช่วยให้เส้นผมของคุณดูสุขภาพดี เงางาม และลดปัญหาผมเสียได้

    มัทฉะ มีกี่ประเภท

    มัทฉะ มีกี่ประเภท? มาทำความรู้จักชาเขียวมัทฉะให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

    มัทฉะ มีกี่ประเภท?? มัทฉะ หรือ ชาเขียวมัทฉะ นอกจากจะเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายแล้ว ยังมีหลากหลายเกรดและประเภทให้เลือก ซึ่งมัทฉะแต่ละประเภทก็มีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องของรสชาติ กลิ่น สี และวิธีการผลิต วันนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับมัทฉะแต่ละประเภทให้มากขึ้น เพื่อที่คุณจะได้เลือกมัทฉะที่ถูกใจและเหมาะกับการใช้งานของคุณมากที่สุด

    การแบ่งประเภทของมัทฉะ

    โดยทั่วไป มัทฉะจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ

    1. Ceremonial Grade (มัทฉะพิธีการ)

    • คุณภาพสูงสุด: เป็นมัทฉะเกรดพรีเมียม มีคุณภาพสูงสุด ผลิตจากใบชาอ่อนที่เก็บเกี่ยวในช่วงเวลาที่เหมาะสม
    • รสชาติ: มีรสชาติที่นุ่มนวล หวาน หอม และไม่มีความขม
    • สี: มีสีเขียวสดใส
    • การใช้งาน: เหมาะสำหรับการใช้ในพิธีชงชาแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม หรือชงดื่มเพียวๆ เพื่อสัมผัสรสชาติที่แท้จริงของมัทฉะ

    2. Cooking Grade (มัทฉะสำหรับทำอาหาร)

    • คุณภาพ: มีคุณภาพรองลงมาจาก Ceremonial Grade
    • รสชาติ: รสชาติอาจจะเข้มข้นกว่า มีความขมเล็กน้อย เหมาะสำหรับนำไปผสมในอาหารหรือเครื่องดื่มอื่นๆ
    • สี: สีอาจจะไม่เข้มเท่ากับ Ceremonial Grade
    • การใช้งาน: เหมาะสำหรับใช้ในการทำขนมอบ เค้ก ไอศกรีม หรือเครื่องดื่ม เช่น มัทฉะลาเต้

    ปัจจัยที่ทำให้มัทฉะแต่ละประเภทแตกต่างกัน

    • สายพันธุ์ชา: ชาเขียวที่นำมาทำมัทฉะมีหลายสายพันธุ์ แต่ละสายพันธุ์ก็จะมีรสชาติและกลิ่นที่แตกต่างกัน
    • ภูมิภาคที่ปลูก: สภาพภูมิอากาศและดินที่ปลูกชาจะส่งผลต่อรสชาติและคุณภาพของมัทฉะ
    • วิธีการผลิต: กระบวนการผลิตมัทฉะแต่ละขั้นตอน ตั้งแต่การเก็บเกี่ยวใบชาไปจนถึงการบด จะมีผลต่อคุณภาพของมัทฉะ
    • ฤดูกาลที่เก็บเกี่ยว: มัทฉะที่เก็บเกี่ยวในช่วงฤดูใบไม้ผลิจะมีคุณภาพสูงที่สุด

    การเลือกมัทฉะให้เหมาะกับตัวเอง

    • พิจารณารสชาติที่ชอบ: ถ้าชอบรสชาติที่นุ่มนวล หวาน ควรเลือกมัทฉะเกรด Ceremonial Grade แต่ถ้าชอบรสชาติที่เข้มข้นและมีกลิ่นหอม ควรเลือกมัทฉะเกรด Cooking Grade
    • วัตถุประสงค์ในการใช้งาน: ถ้าต้องการชงดื่มเพียวๆ ควรเลือกมัทฉะเกรด Ceremonial Grade แต่ถ้าต้องการนำไปทำขนมหรือเครื่องดื่มอื่นๆ สามารถเลือกมัทฉะเกรด Cooking Grade ได้
    • งบประมาณ: มัทฉะเกรด Ceremonial Grade มักจะมีราคาสูงกว่ามัทฉะเกรด Cooking Grade

    สรุป

    มัทฉะแต่ละประเภทจะมีความแตกต่างกันในหลายๆ ด้าน การเลือกมัทฉะให้เหมาะกับตัวเองนั้นขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวและวัตถุประสงค์ในการใช้งาน หากคุณต้องการสัมผัสรสชาติที่แท้จริงของมัทฉะ ควรเลือกมัทฉะเกรด Ceremonial Grade แต่ถ้าต้องการนำไปทำอาหารหรือเครื่องดื่มอื่นๆ สามารถเลือกมัทฉะเกรด Cooking Grade ได้

    ท่าออกกําลังกาย ไม่กระโดด

    ท่าออกกำลังกาย ไม่กระโดด: เหมาะสำหรับทุกคน ทุกวัย

    สำหรับใครที่กำลังมองหาท่าออกกำลังกายที่ไม่ต้องกระโดด ไม่ก่อให้เกิดแรงกระแทกต่อข้อต่อ หรือต้องการออกกำลังกายเบาๆ ที่บ้าน วันนี้เรามีท่าออกกำลังกายที่ไม่ต้องกระโดดมาฝากกันค่ะ ท่าเหล่านี้เหมาะสำหรับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย สามารถทำได้ง่ายๆ ที่บ้านโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษมากมาย

    เหตุผลที่ควรเลือกท่าออกกำลังกายไม่กระโดด

    • ลดแรงกระแทกต่อข้อต่อ: เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาข้อเข่า ข้อเท้า หรือผู้สูงอายุ
    • ออกกำลังกายได้ต่อเนื่อง: ไม่ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บง่าย
    • สามารถทำได้ทุกที่: ไม่จำเป็นต้องไปยิม
    • เหมาะสำหรับทุกระดับความฟิต: สามารถปรับระดับความเข้มข้นได้ตามความต้องการ

    ท่าออกกำลังกายที่ไม่ต้องกระโดด

    ท่าบริหารส่วนบน

    • ท่าแพลงก์: ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว
    • ท่าปีกผีเสื้อ: ช่วยกระชับกล้ามเนื้อแขนและไหล่
    • ท่าวิดพื้น: ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้ออก ไหล่ และท้อง
    • ท่าโรมันเชียร์: ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อหลัง

    ท่าบริหารส่วนล่าง

    • ท่าสควอท: ช่วยกระชับกล้ามเนื้อต้นขาและก้น
    • ท่าลันจ์: ช่วยกระชับกล้ามเนื้อต้นขาและก้น
    • ท่าสะพาน: ช่วยกระชับกล้ามเนื้อก้นและหลังส่วนล่าง
    • ท่ายกขาขึ้น: ช่วยกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้องและต้นขา

    ท่าบริหารแกนกลางลำตัว

    • ท่าครั้นช์: ช่วยกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้อง
    • ท่าเลッグเรส: ช่วยกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้องส่วนล่าง
    • ท่าไซด์แพลงก์: ช่วยกระชับกล้ามเนื้อด้านข้างลำตัว

    เคล็ดลับในการออกกำลังกาย

    • วอร์มอัพ: ก่อนออกกำลังกายควรวอร์มอัพประมาณ 5-10 นาที เพื่อเตรียมร่างกาย
    • คูลดาวน์: หลังออกกำลังกายควรยืดเหยียดกล้ามเนื้อเพื่อคลายความเมื่อยล้า
    • ทำซ้ำ: ทำแต่ละท่าซ้ำประมาณ 10-15 ครั้ง ทำ 3 เซต
    • พักผ่อน: พักผ่อนระหว่างเซตประมาณ 30 วินาที – 1 นาที
    • ดื่มน้ำ: ดื่มน้ำให้เพียงพอระหว่างออกกำลังกาย

    ตัวอย่างโปรแกรมออกกำลังกาย

    • วันจันทร์: บริหารส่วนบน (แพลงก์, ปีกผีเสื้อ, วิดพื้น, โรมันเชียร์)
    • วันพุธ: บริหารส่วนล่าง (สควอท, ลันจ์, สะพาน, ยกขาขึ้น)
    • วันศุกร์: บริหารแกนกลางลำตัว (ครั้นช์, เล็กเรส, ไซด์แพลงก์)

    หมายเหตุ: โปรแกรมนี้เป็นเพียงตัวอย่าง สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมและความต้องการของแต่ละบุคคล

    ข้อควรระวัง

    • ปรึกษาแพทย์: ก่อนเริ่มออกกำลังกายควรปรึกษาแพทย์ หากมีโรคประจำตัว
    • ฟังสัญญาณร่างกาย: หากรู้สึกเจ็บปวด ให้หยุดพักทันที

    การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง สุขภาพดี และมีรูปร่างที่ดีขึ้น


    เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

    ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

    คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

    ยอมรับทั้งหมด
    จัดการความเป็นส่วนตัว
    • เปิดใช้งานตลอด

    บันทึกการตั้งค่า