ข่าวสารวันนี้

ส่องข่าวสาร แวดวงการเมือง อัปเดตรายวัน

    Tag Archive : สุขภาพ

    วิธีบํารุงกระดูก

    บำรุงกระดูกให้แข็งแรง สุขภาพดี ตลอดชีวิต

    กระดูกเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย ช่วยรองรับน้ำหนักและปกป้องอวัยวะภายใน การมีกระดูกที่แข็งแรงจึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อสุขภาพที่ดี การบำรุงกระดูกให้แข็งแรงสามารถทำได้หลายวิธี ทั้งการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย และการดูแลสุขภาพโดยรวม

    วิธีบำรุงกระดูกให้แข็งแรง

    1. รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง

    • นมและผลิตภัณฑ์จากนม: นม โยเกิร์ต ชีส เป็นแหล่งแคลเซียมที่สำคัญ
    • ผักใบเขียวเข้ม: ผักขม คะน้า บรอกโคลี อุดมไปด้วยแคลเซียม
    • ปลาเล็กปลาน้อย: ปลาซาร์ดีน กุ้งแห้ง มีแคลเซียมสูง
    • ถั่วต่างๆ: ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วลิสง
    • อาหารเสริมแคลเซียม: ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน

    2. รับประทานอาหารที่มีวิตามินดีสูง

    • แสงแดด: การรับแสงแดดอ่อนๆ ในตอนเช้า ช่วยให้ร่างกายสร้างวิตามินดี
    • อาหาร: ปลาทะเล ปลาแซลมอน ไข่แดง เห็ด

    3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

    • ออกกำลังกายแบบแบกน้ำหนัก: เช่น วิ่ง เต้นแอโรบิก ยกน้ำหนัก ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์กระดูกใหม่
    • ออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแรง: เช่น โยคะ ปี่ลาเตส ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและเอ็น

    4. หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง

    • งดสูบบุหรี่: นิโคตินทำลายกระดูก
    • ลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: ทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้น้อยลง
    • ควบคุมน้ำหนัก: น้ำหนักตัวมากเกินไปกดดันกระดูก

    5. ตรวจสุขภาพเป็นประจำ

    • ตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก: เพื่อประเมินสุขภาพกระดูกและค้นหาโรคกระดูกพรุนในระยะเริ่มต้น

    อาหารเสริมที่ช่วยบำรุงกระดูก

    นอกจากการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์แล้ว การทานอาหารเสริมก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการบำรุงกระดูก โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน หรือผู้ที่ขาดแคลเซียมและวิตามินดี แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานเสมอ

    โรคที่เกี่ยวข้องกับกระดูก

    • โรคกระดูกพรุน: กระดูกเปราะบางและหักง่าย
    • โรคข้อเสื่อม: ข้อต่อเสื่อมสภาพ
    • โรคอักเสบของข้อ: ข้ออักเสบและบวม

    สรุป

    การบำรุงกระดูกให้แข็งแรงเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพโดยรวม การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และดูแลสุขภาพโดยรวม จะช่วยให้เรามีกระดูกที่แข็งแรงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว

    อาหารคลายเครียด

    อาหารคลายเครียด: เมนูช่วยลดความเครียด สู่จิตใจที่สงบ

    ความเครียดเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน การจัดการกับความเครียดจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง นอกจากการพักผ่อนและการออกกำลังกายแล้ว การรับประทานอาหารก็มีส่วนช่วยในการลดความเครียดได้เช่นกัน อาหารบางชนิดมีสารอาหารที่ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและจิตใจสงบ มาดูกันว่า อาหารคลายเครียดที่เรานำมาแนะนำในวันนี้นั้นมีอะไรบ้าง

    อาหารที่ช่วยลดความเครียด

    • ธัญพืชไม่ขัดสี: เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ควินัว อุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ช่วยเพิ่มระดับเซโรโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
    • กล้วย: อุดมไปด้วยวิตามินบี 6 และแมกนีเซียม ช่วยปรับสมดุลระดับน้ำตาลในเลือดและลดความเครียด
    • ถั่วเปลือกแข็ง: เช่น อัลมอนด์ วอลนัท อุดมไปด้วยวิตามินอีและแมกนีเซียม ช่วยลดความเครียดและปรับปรุงอารมณ์
    • ปลาที่มีไขมัน: เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยลดการอักเสบในร่างกายและปรับปรุงอารมณ์
    • ผักใบเขียว: เช่น ผักขม คะน้า บรอกโคลี อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ ช่วยลดความเครียดและป้องกันโรคต่างๆ
    • ดาร์กช็อกโกแลต: อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเครียดและปรับปรุงอารมณ์
    • ชาเขียว: ช่วยลดความเครียดและเพิ่มความตื่นตัว

    สารอาหารที่ช่วยลดความเครียด

    • ทริปโตแฟน: พบในอาหารประเภทโปรตีน เช่น ไก่ ไข่ ช่วยในการสร้างเซโรโทนิน
    • แมกนีเซียม: ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อและลดความวิตกกังวล
    • วิตามินบี: ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและลดความเครียด

    วิธีรับประทานอาหารเพื่อลดความเครียด

    • รับประทานอาหารให้เป็นเวลา: ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่
    • รับประทานอาหารมื้อเล็กๆ หลายมื้อ: ช่วยให้รู้สึกอิ่มอยู่เสมอ
    • หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป: อาหารแปรรูปมักมีโซเดียมและน้ำตาลสูง ซึ่งอาจทำให้เกิดความเครียดได้
    • ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ: เพื่อวางแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับสุขภาพของคุณ

    สรุป

    การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เป็นประจำ ถือเป็นการดูแลสุขภาพจิตที่ดีวิธีหนึ่ง การเลือกทานอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่ช่วยลดความเครียด จะช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายและมีสุขภาพที่ดีขึ้น

    ดื่มน้ํา ลดน้ําหนัก

    ดื่มน้ำ ลดน้ำหนัก: เคล็ดลับง่ายๆ ที่ใครๆ ก็ทำได้

    การดื่มน้ำเพียงพอเป็นหนึ่งในวิธีง่ายๆ ที่ช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลายคนอาจสงสัยว่าการดื่มน้ำจะช่วยลดน้ำหนักได้อย่างไร วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจและบอกเคล็ดลับการดื่มน้ำเพื่อลดน้ำหนักให้คุณได้รู้กัน

    ทำไมการดื่มน้ำจึงช่วยลดน้ำหนัก?

    • เพิ่มอัตราการเผาผลาญ: การดื่มน้ำจะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย ทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้มากขึ้น
    • ลดความอยากอาหาร: การดื่มน้ำก่อนอาหารจะช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ทำให้ทานอาหารได้น้อยลง
    • ช่วยในการขับถ่าย: น้ำจะช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ช่วยลดอาการท้องผูกและลดการสะสมของของเสียในร่างกาย
    • เพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกาย: การดื่มน้ำเพียงพอจะช่วยให้ร่างกายมีพลังงานในการออกกำลังกายได้อย่างเต็มที่

    เคล็ดลับการดื่มน้ำเพื่อลดน้ำหนัก

    • ดื่มน้ำก่อนอาหาร: การดื่มน้ำ 1-2 แก้วก่อนอาหารประมาณ 30 นาที จะช่วยลดความอยากอาหารและทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง
    • พกขวดน้ำติดตัว: พกขวดน้ำติดตัวไปทุกที่ เพื่อให้สามารถดื่มน้ำได้ตลอดเวลา
    • ดื่มน้ำแทนเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล: หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอัดลม น้ำหวาน หรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เพราะจะทำให้ได้รับพลังงานส่วนเกิน
    • สังเกตสัญญาณความกระหายน้ำ: ร่างกายจะส่งสัญญาณเตือนเมื่อขาดน้ำ ดังนั้นควรดื่มน้ำทันทีเมื่อรู้สึกกระหาย
    • ปรับปริมาณน้ำตามกิจกรรม: ในวันที่ออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมหนักๆ ควรดื่มน้ำให้มากขึ้น

    ปริมาณน้ำที่ควรดื่ม

    ปริมาณน้ำที่ควรดื่มในแต่ละวันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อุณหภูมิร่างกาย กิจกรรมที่ทำ และปริมาณเหงื่อที่ออก โดยทั่วไปแนะนำให้ดื่มน้ำประมาณ 8 แก้วต่อวัน แต่หากออกกำลังกายหนักหรืออยู่ในสภาพอากาศร้อน ควรดื่มน้ำให้มากกว่านี้

    สิ่งที่ควรระวัง

    • อย่าดื่มน้ำมากเกินไป: การดื่มน้ำมากเกินไปอาจทำให้เกิดภาวะน้ำเกินในร่างกายได้
    • เลือกดื่มน้ำเปล่า: น้ำเปล่าเป็นเครื่องดื่มที่ดีที่สุดสำหรับการลดน้ำหนัก
    • ปรึกษาแพทย์: หากมีข้อสงสัยหรือมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำ

    สรุป

    การดื่มน้ำเพียงพอเป็นวิธีที่ง่ายและปลอดภัยในการช่วยลดน้ำหนัก ควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดีและรูปร่างที่สมส่วน

    ผลไม้บำรุงสายตา

    ผลไม้บำรุงสายตา: ส่องแสงให้ดวงตาของคุณ

    สายตาเป็นของขวัญล้ำค่าที่เราทุกคนควรดูแลเป็นอย่างดี ในยุคที่ต้องใช้สายตามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ มองโทรศัพท์มือถือ หรือการขับรถ การบำรุงสายตาให้แข็งแรงจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หนึ่งในวิธีที่ง่ายและได้ผลดีในการบำรุงสายตาคือการรับประทานผลไม้บำรุงสายตา

    ทำไมผลไม้ถึงบำรุงสายตาได้?

    ผลไม้หลายชนิดอุดมไปด้วยวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็นต่อสุขภาพของดวงตา เช่น วิตามินเอ เบต้าแคโรทีน ลูทีน และซีแซนทีน สารอาหารเหล่านี้ช่วยป้องกันการเสื่อมของจอประสาทตา ลดความเสี่ยงของโรคตาต่างๆ เช่น ต้อกระจก และต้อหิน ช่วยให้สายตาคมชัด และยังช่วยลดอาการเมื่อยล้าของดวงตาจากการใช้สายตาเป็นเวลานานอีกด้วย

    ผลไม้บำรุงสายตาที่คุณไม่ควรพลาด

    • แครอท: เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของวิตามินเอ ซึ่งช่วยบำรุงสายตาในที่มืดและป้องกันโรคตาบอดกลางคืน
    • มะละกอ: อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน ที่ร่างกายเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ช่วยปกป้องจอประสาทตาจากความเสียหาย
    • มะม่วง: มีวิตามินเอสูง ช่วยให้สายตาแข็งแรงและมีสุขภาพดี
    • มะเขือเทศ: อุดมไปด้วยไลโคปีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการเสื่อมของจอประสาทตา
    • ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่: เช่น บลูเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคตาเสื่อม
    • กล้วย: มีโพแทสเซียมสูง ช่วยลดความเสี่ยงของโรคต้อกระจก
    • ส้ม: อุดมไปด้วยวิตามินซี ช่วยป้องกันการอักเสบของดวงตา

    วิธีรับประทานผลไม้เพื่อบำรุงสายตา

    • รับประทานผลไม้ให้หลากหลาย: เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วน
    • รับประทานผลไม้สด: จะได้วิตามินและสารอาหารครบถ้วนที่สุด
    • รับประทานผลไม้เป็นประจำ: ควรทานผลไม้ทุกวัน เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างต่อเนื่อง

    เคล็ดลับเพิ่มเติม:

    • พักสายตาเป็นระยะ: หากต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ควรพักสายตาเป็นระยะๆ ทุกๆ 20 นาที โดยมองไปยังวัตถุที่อยู่ไกลๆ
    • ออกกำลังกาย: การออกกำลังกายช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงดวงตา
    • นอนหลับให้เพียงพอ: การพักผ่อนอย่างเพียงพอช่วยให้ดวงตาได้พักผ่อนและฟื้นฟู
    • ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ: การตรวจสุขภาพตาเป็นประจำจะช่วยให้คุณทราบถึงสุขภาพดวงตาของคุณและสามารถรักษาได้อย่างทันท่วงที

    การดูแลสายตาเป็นสิ่งสำคัญมาก การรับประทานผลไม้บำรุงสายตาควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพตาอย่างถูกวิธี จะช่วยให้คุณมีสายตาที่แข็งแรงและมองเห็นโลกได้อย่างชัดเจนตลอดไป

    น้ำตาเทียม

    น้ำตาเทียม ดีไหม? ไขข้อสงสัยเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์บำรุงดวงตาที่คุณควรรู้

    ปัญหาตาแห้ง เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ใช้สายตามากเกินไป เช่น ผู้ที่ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ หรือผู้สูงอายุ อาการตาแห้งนอกจากจะทำให้รู้สึกไม่สบายตา ยังอาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นในระยะยาวได้อีกด้วย

    น้ำตาเทียม จึงกลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ประสบปัญหาตาแห้ง เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตา ช่วยบรรเทาอาการระคายเคือง แสบตา และคันตาได้เป็นอย่างดี แต่หลายคนก็ยังคงสงสัยว่า น้ำตาเทียมดีจริงหรือ? มีประโยชน์อย่างไร? และควรเลือกใช้น้ำตาเทียมแบบไหนดี?

    น้ำตาเทียม คืออะไร?

    น้ำตาเทียมเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อเลียนแบบน้ำตาธรรมชาติ มีส่วนประกอบหลักคือน้ำและสารหล่อลื่น เช่น โพลีเอทิลีนไกลคอล (Polyethylene Glycol) หรือไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) ซึ่งช่วยเคลือบผิวตาและรักษาความชุ่มชื้น

    ประโยชน์ของน้ำตาเทียม

    • ช่วยบรรเทาอาการตาแห้ง: เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตา ช่วยลดอาการระคายเคือง แสบตา คันตา และทำให้รู้สึกสบายตาขึ้น
    • ป้องกันการระคายเคือง: สร้างชั้นป้องกันบนผิวตา ช่วยลดการเสียดสีระหว่างเปลือกตาและดวงตา
    • ช่วยให้การใส่คอนแทคเลนส์สบายขึ้น: ลดอาการระคายเคืองที่เกิดจากการใส่คอนแทคเลนส์
    • ช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้กับดวงตาหลังการผ่าตัด: เช่น หลังการผ่าตัดต้อกระจก

    น้ำตาเทียม เหมาะสำหรับใคร?

    • ผู้ที่มีอาการตาแห้งเรื้อรัง
    • ผู้ที่ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
    • ผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์
    • ผู้สูงอายุ
    • ผู้ที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แห้งและมีลมแรง
    • ผู้ที่เพิ่งผ่านการผ่าตัดตา

    วิธีเลือกน้ำตาเทียม

    น้ำตาเทียมมีหลายชนิดและหลายยี่ห้อให้เลือก โดยมีส่วนประกอบและความเข้มข้นของสารหล่อลื่นที่แตกต่างกัน การเลือกน้ำตาเทียมที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสภาพของดวงตาและความต้องการของแต่ละบุคคล ควรปรึกษาเภสัชกรหรือจักษุแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ

    ปัจจัยที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกน้ำตาเทียม:

    • ความเข้มข้นของสารหล่อลื่น: เลือกความเข้มข้นที่เหมาะสมกับระดับความแห้งของดวงตา
    • ชนิดของสารกันเสีย: บางคนอาจแพ้สารกันเสียในน้ำตาเทียม ควรเลือกชนิดที่ไม่มีสารกันเสียหรือมีสารกันเสียชนิดที่ไม่ระคายเคือง
    • ความถี่ในการใช้: เลือกชนิดที่เหมาะกับการใช้ในชีวิตประจำวันหรือสำหรับใช้ในกรณีฉุกเฉิน
    • ราคา: น้ำตาเทียมมีราคาแตกต่างกันไป ควรเลือกชนิดที่เหมาะสมกับงบประมาณ

    ข้อควรระวังในการใช้น้ำตาเทียม

    • อ่านฉลากอย่างละเอียด: ก่อนใช้ควรอ่านฉลากเพื่อดูส่วนประกอบและวิธีใช้ให้ถูกต้อง
    • หลีกเลี่ยงการสัมผัสปลายขวดกับดวงตา: เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรค
    • หยุดใช้และปรึกษาแพทย์: หากมีอาการแพ้หรืออาการไม่พึงประสงค์อื่นๆ เกิดขึ้น

    สรุป

    น้ำตาเทียมเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยบรรเทาอาการตาแห้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสภาพของดวงตาและปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม ควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้อง

    อาหารแก้กรดไหลย้อน

    อาหารแก้กรดไหลย้อน: บรรเทาอาการแสบร้อนด้วยอาหารเหล่านี้

    กรดไหลย้อน เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน สาเหตุหลักมาจากการที่กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหาร ทำให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอก เรอบ่อยๆ และมีรสเปรี้ยวในปาก การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาที่สำคัญ ซึ่งรวมถึงการเลือกทานอาหารที่เหมาะสม

    อาหารแก้กรดไหลย้อน

    • ผักใบเขียว: ผักใบเขียว เช่น ผักคะน้า ผักโขม และกะหล่ำปลี มีใยอาหารสูง ช่วยในการย่อยอาหารและลดอาการท้องอืด ซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดกรดไหลย้อน
    • ผลไม้: เลือกทานผลไม้ที่มีความเป็นกรดต่ำ เช่น กล้วย แอปเปิล (ปอกเปลือก) แตงโม และมะละกอสุก
    • ธัญพืช: ธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต และข้าวบาร์เลย์ มีใยอาหารสูง ช่วยในการย่อยอาหารและลดอาการท้องอืด
    • โปรตีน: เลือกทานโปรตีนที่ย่อยง่าย เช่น ไก่ไม่ติดหนัง ปลา เนื้อวัวไม่ติดมัน และไข่ขาว
    • นม: นมไขมันต่ำหรือนมพร่องมันเนย ช่วยเคลือบหลอดอาหารและลดอาการแสบร้อน
    • น้ำเปล่า: การดื่มน้ำเปล่าในปริมาณที่เพียงพอช่วยในการย่อยอาหารและลดอาการท้องผูก

    อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

    • อาหารรสจัด: อาหารรสจัด เช่น พริก กระเทียม และเครื่องเทศต่างๆ จะกระตุ้นให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
    • อาหารทอดและมันเจียว: อาหารทอดและมันเจียวมีไขมันสูง ย่อยยาก และทำให้เกิดอาการท้องอืด
    • อาหารรสเปรี้ยว: ผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว และสับปะรด จะกระตุ้นให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
    • กาแฟ ชา และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน: คาเฟอีนจะกระตุ้นให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
    • แอลกอฮอล์: แอลกอฮอล์จะระคายเคืองเยื่อบุหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร

    เคล็ดลับเพิ่มเติม

    • ทานอาหารมื้อเล็กๆ หลายมื้อ: การทานอาหารมื้อเล็กๆ หลายมื้อจะช่วยลดภาระในการทำงานของกระเพาะอาหาร
    • เคี้ยวอาหารให้ละเอียด: การเคี้ยวอาหารให้ละเอียดจะช่วยในการย่อยอาหารและลดอาการท้องอืด
    • เลิกสูบบุหรี่: บุหรี่จะทำให้กล้ามเนื้อหูรูดบริเวณหลอดอาหารอ่อนแรงลง ทำให้กรดไหลย้อนได้ง่ายขึ้น
    • หลีกเลี่ยงการนอนราบหลังทานอาหารทันที: ควรเว้นระยะห่างประมาณ 2-3 ชั่วโมง
    • ยกหัวเตียงให้สูงขึ้น: การยกหัวเตียงให้สูงขึ้นประมาณ 15-20 เซนติเมตร จะช่วยลดแรงดันในกระเพาะอาหาร

    ข้อควรระวัง: หากอาการกรดไหลย้อนไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม

    บทสรุป

    การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินเป็นสิ่งสำคัญในการบรรเทาอาการกรดไหลย้อน การเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ อาหารแก้กรดไหลย้อน ที่เราแนะนำไปข้างต้น และหลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นให้เกิดอาการ รวมถึงการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต จะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดีขึ้น

    เปิดกรุสมุนไพรล้านนา “มะแขว่น” ที่ซ่อนพลังบำรุงผิว

    เปิดกรุสมุนไพรล้านนา “มะแขว่น” ที่ซ่อนพลังบำรุงผิว

    มะแขว่น” หรือ “ฮก” เป็นสมุนไพรที่โดดเด่นในวัฒนธรรมล้านนา ถือเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตชาวเหนือซึ่งนิยมนำมาใช้ในอาหารและยาสมุนไพรมายาวนาน ด้วยรสเผ็ดร้อนและกลิ่นหอมเฉพาะตัว ทำให้ “มะแขว่น” เป็นที่นิยมอย่างมากในการปรุงอาหารพื้นบ้าน เช่น ลาบ แกงโฮะ และแกงฮังเล นอกจากนี้ ยังถูกนำมาใช้ในศาสตร์ความงามของพระสนมล้านนา หรือ “แม่หยัว” ที่ต้องการมีผิวพรรณเปล่งปลั่งและสดใส

    ตำนานและความสำคัญของ “มะแขว่น” ในล้านนา “มะแขว่น” มีการบันทึกในประวัติศาสตร์ล้านนามาหลายร้อยปี ในฐานะสมุนไพรที่ช่วยรักษาโรคและบำรุงสุขภาพ บรรเทาอาการท้องอืด ปวดข้อ และเสริมสมรรถภาพการย่อยอาหาร ทำให้เป็นที่รักและยอมรับในวัฒนธรรมล้านนา นอกจากการใช้งานทางการแพทย์แล้ว “มะแขว่น” ยังแฝงด้วยคุณค่าทางจิตวิญญาณ ชาวล้านนาเชื่อว่าการนำสมุนไพรชนิดนี้มาใช้สามารถช่วยปรับสมดุลร่างกายได้อย่างดี

    “มะแขว่น” กับความงามของพระสนมล้านนา นอกจากบทบาทในครัวแล้ว “มะแขว่น” ยังถูกใช้ในการดูแลผิวพรรณของพระสนมในวังล้านนา โดย “มะแขว่น” มีสารที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตในผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่ง สวยงาม นอกจากนี้ยังช่วยลดความเครียด ช่วยปรับสมดุลภายใน ทำให้ผิวพรรณสดใสและดูอ่อนเยาว์ และกลายเป็นที่รู้จักในฐานะ “อาวุธลับ” ของเหล่าพระสนม

    วิธีการใช้ “มะแขว่น” เพื่อความงาม

    • การใช้ “มะแขว่น” ต้มกับน้ำใช้เป็นสเปรย์ฉีดผิว ช่วยบำรุงผิวให้ดูสดใส
    • ใช้เป็นส่วนผสมในสครับผิว ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทำให้ผิวเนียนนุ่ม
    • ใช้ “มะแขว่น” เป็นส่วนประกอบในน้ำมันหอมระเหย ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ลดการปวดเมื่อย

    สรุป “มะแขว่น” ไม่เพียงแต่เป็นสมุนไพรที่มีคุณค่าทางด้านสุขภาพและอาหาร แต่ยังเป็นตัวแทนของภูมิปัญญาท้องถิ่นล้านนา ซึ่งสืบทอดมาอย่างยาวนาน การนำ “มะแขว่น” มาใช้ในการดูแลผิวพรรณและบำรุงสุขภาพ ทำให้คนรุ่นใหม่เห็นถึงความสำคัญของสมุนไพรไทยที่มีคุณค่าสูงและยังประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย

    ดื่มกาแฟ ดีไหม

    ดื่มกาแฟ ดีไหม? รู้จักประโยชน์และโทษของกาแฟให้มากขึ้น

    กาแฟ เครื่องดื่มยอดนิยมที่หลายคนขาดไม่ได้ในตอนเช้า หรือแม้แต่ตลอดทั้งวัน แต่หลายคนก็ยังสงสัยว่าการดื่มกาแฟดีไหม ดื่มกาแฟบ่อย ๆ นั้นดีต่อสุขภาพหรือไม่? วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับประโยชน์และโทษของกาแฟกัน

    ประโยชน์ของกาแฟ

    • เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า: คาเฟอีนในกาแฟช่วยกระตุ้นระบบประสาท ทำให้รู้สึกตื่นตัวและมีสมาธิมากขึ้น
    • ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน: การดื่มกาแฟก่อนทำงานหรือเรียน จะช่วยให้รู้สึกกระฉับกระเฉงและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    • ลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ: การศึกษาหลายชิ้นพบว่าการดื่มกาแฟในปริมาณที่พอเหมาะ อาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ เช่น โรคพาร์กินสัน โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคตับแข็ง
    • เป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ: กาแฟอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากความเสียหาย
    • ช่วยลดความเสี่ยงของโรคซึมเศร้า: การศึกษาบางชิ้นพบว่าการดื่มกาแฟอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคซึมเศร้าได้

    โทษของกาแฟ

    • ทำให้หลับยาก: คาเฟอีนในกาแฟจะไปรบกวนการนอนหลับ ทำให้หลับยากและหลับไม่สนิท หากดื่มกาแฟในปริมาณมากหรือใกล้เวลานอน
    • เพิ่มความวิตกกังวล: คาเฟอีนอาจทำให้เกิดอาการใจสั่น วิตกกังวล และกระสับกระส่ายได้
    • เพิ่มความดันโลหิต: การดื่มกาแฟอาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีความดันโลหิตสูงอยู่แล้ว
    • ทำให้กระดูกพรุน: การดื่มกาแฟมากเกินไปอาจทำให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อสุขภาพของกระดูก
    • ทำให้ท้องเสีย: คาเฟอีนอาจกระตุ้นให้ลำไส้ทำงานมากขึ้น ทำให้เกิดอาการท้องเสียได้

    ดื่มกาแฟอย่างไรให้ปลอดภัย

    • ดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ: ไม่ควรดื่มกาแฟเกิน 400 มิลลิกรัมต่อวัน หรือประมาณ 3-4 แก้ว
    • เลือกดื่มกาแฟดำ: กาแฟดำมีคาเฟอีนน้อยกว่ากาแฟที่มีส่วนผสมของนมและน้ำตาล
    • หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟก่อนนอน: ควรหยุดดื่มกาแฟอย่างน้อย 6 ชั่วโมงก่อนนอน
    • เลือกดื่มกาแฟคุณภาพดี: กาแฟคุณภาพดีจะมีรสชาติอร่อย และมีคาเฟอีนในปริมาณที่เหมาะสม

    สรุปแล้ว การดื่มกาแฟนั้นมีทั้งประโยชน์และโทษ ขึ้นอยู่กับปริมาณและสุขภาพของแต่ละบุคคล การดื่มกาแฟในปริมาณที่พอเหมาะและเลือกดื่มกาแฟคุณภาพดี จะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์จากกาแฟได้อย่างเต็มที่

    หากคุณมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะดื่มกาแฟ

    Overnight Oats คือ

    Overnight Oats อาหารเช้าสุขภาพง่าย ๆ

    Overnight Oats คืออะไร?

    Overnight Oats หรือ ข้าวโอ๊ตค้างคืน เป็นเมนูอาหารเช้าสุดฮิตที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นเมนูที่ทำง่าย อร่อย และมีประโยชน์ต่อสุขภาพสูง

    วิธีทำ Overnight Oats

    1. เตรียมส่วนผสม: ข้าวโอ๊ต นม (หรือเครื่องดื่มทางเลือกอื่น ๆ เช่น นมอัลมอนด์ นมถั่วเหลือง) โยเกิร์ต ผลไม้สดหรือแห้ง ถั่ว ธัญพืช และน้ำผึ้งหรือไซรัป
    2. ผสมส่วนผสม: ผสมข้าวโอ๊ตกับนมหรือเครื่องดื่มทางเลือกอื่น ๆ ในภาชนะที่ปิดสนิท
    3. แช่เย็น: แช่ในตู้เย็นข้ามคืน
    4. ตกแต่งและเสิร์ฟ: ในตอนเช้า นำออกมาตกแต่งด้วยผลไม้สด ถั่ว ธัญพืช และน้ำผึ้งหรือไซรัปตามชอบ

    ประโยชน์ของ Overnight Oats

    • อิ่มนาน: ข้าวโอ๊ตเป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ช่วยให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น
    • ไฟเบอร์สูง: ช่วยในการย่อยอาหารและสุขภาพลำไส้
    • โปรตีนสูง: ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
    • วิตามินและแร่ธาตุ: ผลไม้และธัญพืชที่เติมลงไปช่วยเพิ่มวิตามินและแร่ธาตุ
    • สะดวกและรวดเร็ว: สามารถเตรียมล่วงหน้าได้ ทำให้สะดวกในการรับประทานในตอนเช้า

    เคล็ดลับในการทำ Overnight Oats

    • เลือกข้าวโอ๊ต: เลือกข้าวโอ๊ตร่วนหรือข้าวโอ๊ตโรลด์
    • เลือกนมหรือเครื่องดื่มทางเลือก: เลือกชนิดที่ไม่หวานมากเกินไป
    • เพิ่มรสชาติ: เพิ่มรสชาติด้วยผลไม้สดหรือแห้ง ถั่ว ธัญพืช น้ำผึ้งหรือไซรัป
    • ปรับแต่งสูตร: ปรับสูตรให้เหมาะกับความชอบส่วนตัว
    • เก็บรักษา: เก็บรักษาในตู้เย็นไม่เกิน 2-3 วัน

    Overnight Oats เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับอาหารเช้าสุขภาพ สามารถปรับแต่งสูตรได้ตามความชอบและความต้องการทางโภชนาการ

    อาหารไขมันดี

    อาหารไขมันดี…มิตรแท้สุขภาพที่คุณควรรู้จัก

    ไขมันดี คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ?

    หลายคนมักเข้าใจผิดว่า ไขมันทั้งหมดเป็นตัวร้ายที่ก่อให้เกิดโรค แต่ความจริงแล้ว ไขมันก็มีทั้งดีและไม่ดี ไขมันดี (หรือ HDL cholesterol) มีบทบาทสำคัญในการช่วยขนส่งคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีออกจากหลอดเลือดไปทำลายที่ตับ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

    ไขมันดีมีประโยชน์อย่างไรบ้าง?

    • ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ: ไขมันดีช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีในเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรคหัวใจ
    • ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: ไขมันดีช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2
    • ช่วยบำรุงสมอง: ไขมันดีเป็นส่วนประกอบสำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ประสาท ช่วยบำรุงสมองและระบบประสาท
    • ช่วยดูดซึมวิตามิน: ไขมันดีช่วยในการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน เช่น วิตามิน A, D, E และ K

    อาหารที่มีไขมันดีสูง

    • ปลา: ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาแมคเคอเรล เป็นแหล่งของกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นไขมันดีชนิดหนึ่ง
    • ถั่ว: อัลมอนด์ วอลนัท เม็ดมะม่วงหิมพานต์ มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและเชิงซ้อนสูง
    • เมล็ดพืช: เมล็ดเจีย เมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดเชีย มีโอเมก้า 3 และไฟเบอร์สูง
    • อะโวคาโด: ผลไม้ที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูง ช่วยลดคอเลสเตอรอล
    • น้ำมันมะกอก: น้ำมันสำหรับปรุงอาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูง

    วิธีเพิ่มไขมันดีในอาหาร

    • ปรุงอาหารด้วยน้ำมันมะกอก: แทนที่การใช้น้ำมันปาล์มหรือน้ำมันทอดซ้ำ
    • เพิ่มปลาในเมนูอาหาร: กินปลาอย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์
    • ทานถั่วและเมล็ดพืชเป็นของว่าง: แทนที่ขนมขบเคี้ยว
    • ใส่อะโวคาโดในสลัด: หรือใช้แทนเนยในแซนวิช
    • ดื่มนมพร่องมันเนย: หรือโยเกิร์ต
    • ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ: เพื่อวางแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับสุขภาพของคุณ

    สรุป

    ไขมันดีเป็นส่วนประกอบสำคัญของร่างกาย การรับประทานอาหารที่มีไขมันดีอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ได้ อย่างไรก็ตาม ควรบริโภคอาหารไขมันดีในปริมาณที่เหมาะสม และหลีกเลี่ยงไขมันทรานส์ ซึ่งเป็นไขมันชนิดไม่ดีที่พบได้ในอาหารแปรรูป


    เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

    ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

    คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

    ยอมรับทั้งหมด
    จัดการความเป็นส่วนตัว
    • เปิดใช้งานตลอด

    บันทึกการตั้งค่า