ข่าวสารวันนี้

ส่องข่าวสาร แวดวงการเมือง อัปเดตรายวัน

    Tag Archive : อาหาร

    ผลไม้บำรุงสายตา

    ผลไม้บำรุงสายตา: ส่องแสงให้ดวงตาของคุณ

    สายตาเป็นของขวัญล้ำค่าที่เราทุกคนควรดูแลเป็นอย่างดี ในยุคที่ต้องใช้สายตามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ มองโทรศัพท์มือถือ หรือการขับรถ การบำรุงสายตาให้แข็งแรงจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หนึ่งในวิธีที่ง่ายและได้ผลดีในการบำรุงสายตาคือการรับประทานผลไม้บำรุงสายตา

    ทำไมผลไม้ถึงบำรุงสายตาได้?

    ผลไม้หลายชนิดอุดมไปด้วยวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็นต่อสุขภาพของดวงตา เช่น วิตามินเอ เบต้าแคโรทีน ลูทีน และซีแซนทีน สารอาหารเหล่านี้ช่วยป้องกันการเสื่อมของจอประสาทตา ลดความเสี่ยงของโรคตาต่างๆ เช่น ต้อกระจก และต้อหิน ช่วยให้สายตาคมชัด และยังช่วยลดอาการเมื่อยล้าของดวงตาจากการใช้สายตาเป็นเวลานานอีกด้วย

    ผลไม้บำรุงสายตาที่คุณไม่ควรพลาด

    • แครอท: เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของวิตามินเอ ซึ่งช่วยบำรุงสายตาในที่มืดและป้องกันโรคตาบอดกลางคืน
    • มะละกอ: อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน ที่ร่างกายเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ช่วยปกป้องจอประสาทตาจากความเสียหาย
    • มะม่วง: มีวิตามินเอสูง ช่วยให้สายตาแข็งแรงและมีสุขภาพดี
    • มะเขือเทศ: อุดมไปด้วยไลโคปีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการเสื่อมของจอประสาทตา
    • ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่: เช่น บลูเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคตาเสื่อม
    • กล้วย: มีโพแทสเซียมสูง ช่วยลดความเสี่ยงของโรคต้อกระจก
    • ส้ม: อุดมไปด้วยวิตามินซี ช่วยป้องกันการอักเสบของดวงตา

    วิธีรับประทานผลไม้เพื่อบำรุงสายตา

    • รับประทานผลไม้ให้หลากหลาย: เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วน
    • รับประทานผลไม้สด: จะได้วิตามินและสารอาหารครบถ้วนที่สุด
    • รับประทานผลไม้เป็นประจำ: ควรทานผลไม้ทุกวัน เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างต่อเนื่อง

    เคล็ดลับเพิ่มเติม:

    • พักสายตาเป็นระยะ: หากต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ควรพักสายตาเป็นระยะๆ ทุกๆ 20 นาที โดยมองไปยังวัตถุที่อยู่ไกลๆ
    • ออกกำลังกาย: การออกกำลังกายช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงดวงตา
    • นอนหลับให้เพียงพอ: การพักผ่อนอย่างเพียงพอช่วยให้ดวงตาได้พักผ่อนและฟื้นฟู
    • ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ: การตรวจสุขภาพตาเป็นประจำจะช่วยให้คุณทราบถึงสุขภาพดวงตาของคุณและสามารถรักษาได้อย่างทันท่วงที

    การดูแลสายตาเป็นสิ่งสำคัญมาก การรับประทานผลไม้บำรุงสายตาควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพตาอย่างถูกวิธี จะช่วยให้คุณมีสายตาที่แข็งแรงและมองเห็นโลกได้อย่างชัดเจนตลอดไป

    อาหารกลิ่นแรงแต่มีประโยชน์

    อาหารกลิ่นแรงแต่มีประโยชน์: เผยเคล็ดลับการทานอาหารสุขภาพที่อร่อยและมีประโยชน์

    อาหารที่มีกลิ่นแรงนั้นมักถูกมองข้ามไป เนื่องจากกลิ่นที่ฉุนและรสชาติที่เข้มข้น แต่รู้หรือไม่ว่าอาหารเหล่านี้กลับอุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมากมาย และยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกด้วย วันนี้เราจะพาคุณไปพบกับอาหารกลิ่นแรงแต่มีประโยชน์เหล่านี้ พร้อมเผยเคล็ดลับการทานให้ได้ประโยชน์สูงสุด

    ทำไมอาหารกลิ่นแรงถึงมีประโยชน์?

    อาหารที่มีกลิ่นแรงมักจะมีสารประกอบทางเคมีที่เรียกว่า ฟีโตนิวเทรียนต์ (phytonutrients) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันเซลล์จากความเสียหาย ชะลอความเสื่อมของเซลล์ และลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคความเสื่อมของสมอง นอกจากนี้ อาหารกลิ่นแรงยังมีใยอาหารสูง ช่วยในการขับถ่าย และมีโปรตีนสูง ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างกล้ามเนื้อและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย

    ตัวอย่างอาหารกลิ่นแรงที่มีประโยชน์

    • กระเทียม: ช่วยลดความดันโลหิต ลดระดับคอเลสเตอรอล และมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
    • หอมแดง: ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
    • หัวหอม: ช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง ช่วยลดการอักเสบ และมีวิตามินซีสูง
    • ขิง: ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียน และมีฤทธิ์แก้อักเสบ
    • กะเพรา: ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
    • ปลา: ปลาบางชนิด เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล มีกลิ่นคาว แต่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง ซึ่งดีต่อหัวใจและสมอง

    เคล็ดลับการทานอาหารกลิ่นแรง

    • ปรุงรส: การปรุงรสด้วยสมุนไพรและเครื่องเทศอื่นๆ จะช่วยลดกลิ่นฉุนและเพิ่มรสชาติให้อาหารน่ารับประทานมากขึ้น
    • ผสมกับอาหารอื่น: การนำอาหารกลิ่นแรงไปผสมกับอาหารชนิดอื่น เช่น สลัด ผัด หรือต้ม จะช่วยลดความเข้มข้นของกลิ่น
    • ค่อยๆ ปรับ: หากไม่คุ้นเคยกับกลิ่นแรง ให้เริ่มจากการใช้อาหารกลิ่นแรงในปริมาณน้อยๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ
    • เลือกวัตถุดิบสดใหม่: อาหารสดใหม่จะมีกลิ่นที่ไม่ฉุนมากนัก และมีรสชาติที่อร่อยกว่า

    เมนูอาหารกลิ่นแรงที่น่าลอง

    • ผัดกระเพราหมูสับ: เมนูโปรดของคนไทย ที่อุดมไปด้วยโปรตีนจากเนื้อหมู และสารต้านอนุมูลอิสระจากใบกะเพรา
    • ต้มยำกุ้ง: ซุปที่มีรสชาติจัดจ้าน ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร
    • แกงเขียวหวานไก่: แกงที่มีรสชาติเข้มข้น อุดมไปด้วยสมุนไพรไทย
    • ส้มตำ: ส้มตำไทยรสแซ่บ มีใยอาหารสูง ช่วยในการขับถ่าย

    สรุป

    อาหารกลิ่นแรงไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด หากรู้จักวิธีการปรุงและเลือกทานให้ถูกวิธี อาหารเหล่านี้จะกลายเป็นอาหารสุขภาพที่อร่อยและมีประโยชน์ต่อร่างกายของคุณ ลองนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปปรับใช้กับเมนูอาหารของคุณดูนะคะ

    อาหารแก้กรดไหลย้อน

    อาหารแก้กรดไหลย้อน: บรรเทาอาการแสบร้อนด้วยอาหารเหล่านี้

    กรดไหลย้อน เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน สาเหตุหลักมาจากการที่กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหาร ทำให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอก เรอบ่อยๆ และมีรสเปรี้ยวในปาก การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาที่สำคัญ ซึ่งรวมถึงการเลือกทานอาหารที่เหมาะสม

    อาหารแก้กรดไหลย้อน

    • ผักใบเขียว: ผักใบเขียว เช่น ผักคะน้า ผักโขม และกะหล่ำปลี มีใยอาหารสูง ช่วยในการย่อยอาหารและลดอาการท้องอืด ซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดกรดไหลย้อน
    • ผลไม้: เลือกทานผลไม้ที่มีความเป็นกรดต่ำ เช่น กล้วย แอปเปิล (ปอกเปลือก) แตงโม และมะละกอสุก
    • ธัญพืช: ธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต และข้าวบาร์เลย์ มีใยอาหารสูง ช่วยในการย่อยอาหารและลดอาการท้องอืด
    • โปรตีน: เลือกทานโปรตีนที่ย่อยง่าย เช่น ไก่ไม่ติดหนัง ปลา เนื้อวัวไม่ติดมัน และไข่ขาว
    • นม: นมไขมันต่ำหรือนมพร่องมันเนย ช่วยเคลือบหลอดอาหารและลดอาการแสบร้อน
    • น้ำเปล่า: การดื่มน้ำเปล่าในปริมาณที่เพียงพอช่วยในการย่อยอาหารและลดอาการท้องผูก

    อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

    • อาหารรสจัด: อาหารรสจัด เช่น พริก กระเทียม และเครื่องเทศต่างๆ จะกระตุ้นให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
    • อาหารทอดและมันเจียว: อาหารทอดและมันเจียวมีไขมันสูง ย่อยยาก และทำให้เกิดอาการท้องอืด
    • อาหารรสเปรี้ยว: ผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว และสับปะรด จะกระตุ้นให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
    • กาแฟ ชา และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน: คาเฟอีนจะกระตุ้นให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
    • แอลกอฮอล์: แอลกอฮอล์จะระคายเคืองเยื่อบุหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร

    เคล็ดลับเพิ่มเติม

    • ทานอาหารมื้อเล็กๆ หลายมื้อ: การทานอาหารมื้อเล็กๆ หลายมื้อจะช่วยลดภาระในการทำงานของกระเพาะอาหาร
    • เคี้ยวอาหารให้ละเอียด: การเคี้ยวอาหารให้ละเอียดจะช่วยในการย่อยอาหารและลดอาการท้องอืด
    • เลิกสูบบุหรี่: บุหรี่จะทำให้กล้ามเนื้อหูรูดบริเวณหลอดอาหารอ่อนแรงลง ทำให้กรดไหลย้อนได้ง่ายขึ้น
    • หลีกเลี่ยงการนอนราบหลังทานอาหารทันที: ควรเว้นระยะห่างประมาณ 2-3 ชั่วโมง
    • ยกหัวเตียงให้สูงขึ้น: การยกหัวเตียงให้สูงขึ้นประมาณ 15-20 เซนติเมตร จะช่วยลดแรงดันในกระเพาะอาหาร

    ข้อควรระวัง: หากอาการกรดไหลย้อนไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม

    บทสรุป

    การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินเป็นสิ่งสำคัญในการบรรเทาอาการกรดไหลย้อน การเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ อาหารแก้กรดไหลย้อน ที่เราแนะนำไปข้างต้น และหลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นให้เกิดอาการ รวมถึงการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต จะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดีขึ้น

    สูตรไข่ดองน้ำปลา

    สูตรไข่ดองน้ำปลา ทำง่าย อร่อยถึงใจ!

    ไข่ดองน้ำปลา เมนูทานเล่นสุดคลาสสิก ที่ใครๆ ก็ทำได้ แถมยังอร่อยถูกปากอีกด้วยค่ะ วิธีทำก็ง่ายนิดเดียว แค่มีส่วนผสมไม่กี่อย่างก็สามารถทำได้ที่บ้านแล้ว มาดูสูตรและขั้นตอนการทำกันเลยค่ะ

    ส่วนผสมทำไข่ดองน้ำปลา

    • ไข่ไก่สด
    • น้ำปลา
    • น้ำตาลปี๊บ
    • น้ำเปล่า
    • กระเทียม (สำหรับโรยหน้า)
    • พริกขี้หนู (สำหรับโรยหน้า)
    • หอมแดง (สำหรับโรยหน้า)
    • น้ำมะนาว (สำหรับโรยหน้า)

    อุปกรณ์

    • หม้อ
    • ช้อน
    • ขวดโหลแก้ว

    วิธีทำไข่ดองน้ำปลา

    1. เตรียมน้ำดอง: ตวงน้ำปลา น้ำตาลปี๊บ และน้ำเปล่าใส่หม้อ คนให้เข้ากัน ตั้งไฟกลาง เคี่ยวจนน้ำตาลละลายและส่วนผสมเดือด จากนั้นปิดไฟ พักให้เย็นสนิท
    2. เตรียมไข่: ล้างไข่ไก่ให้สะอาด ตอกไข่ใส่ภาชนะที่เตรียมไว้ แยกไข่แดงออกจากไข่ขาว ทิ้งไข่ขาวไป (หรือจะนำไปทำเมนูอื่นๆ ต่อก็ได้)
    3. ดองไข่: นำไข่แดงที่แยกไว้ใส่ลงในน้ำดองที่เย็นแล้ว ปิดฝาขวดโหลให้สนิท นำไปแช่ตู้เย็นประมาณ 1 คืน หรือจนกว่าไข่แดงจะมีความหนึบตามต้องการ
    4. จัดเสิร์ฟ: นำไข่ดองออกจากตู้เย็น ตักใส่จาน โรยหน้าด้วยกระเทียม พริกขี้หนู หอมแดงซอย และบีบน้ำมะนาวเล็กน้อย ก่อนเสิร์ฟ

    เคล็ดลับสูตรไข่ดองน้ำปลาเด็ด

    • เลือกไข่ไก่สด: เพื่อให้ได้ไข่ดองที่มีคุณภาพดี
    • น้ำดอง: ปรับปริมาณน้ำปลา น้ำตาล และน้ำเปล่าได้ตามชอบ เพื่อให้ได้รสชาติที่ถูกปาก
    • ระยะเวลาการดอง: ปรับระยะเวลาการดองได้ตามความชอบ หากต้องการไข่แดงที่หนึบมากขึ้น สามารถดองทิ้งไว้ได้นานขึ้น
    • น้ำจิ้ม: นอกจากจะรับประทานไข่ดองเปล่าๆ แล้ว สามารถทานคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ด หรือน้ำจิ้มพริกก็อร่อย

    ไข่ดองน้ำปลา เป็นเมนูที่ทำง่าย ใช้เวลาไม่นาน แต่ได้รสชาติที่อร่อย กลมกล่อม เหมาะสำหรับทานเป็นอาหารว่าง หรือทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ ก็อร่อยไม่แพ้กัน ลองทำตามสูตรนี้ดูนะคะ รับรองว่าติดใจแน่นอน

    คำแนะนำเพิ่มเติม:

    • ความปลอดภัย: ควรเลือกภาชนะที่สะอาดในการทำไข่ดอง และควรเก็บไข่ดองในตู้เย็นเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา
    • วัตถุดิบอื่นๆ: สามารถเพิ่มวัตถุดิบอื่นๆ ลงไปในน้ำดองได้ เช่น ใบเตย หรือสมุนไพรชนิดอื่นๆ เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมและรสชาติที่หลากหลาย
    • การปรับรสชาติ: หากต้องการรสชาติที่เผ็ดมากขึ้น สามารถเพิ่มปริมาณพริกขี้หนูได้ หรือหากต้องการรสชาติที่หวานน้อยลง สามารถลดปริมาณน้ำตาลได้

    ขอให้สนุกกับการทำอาหารนะคะ!

    Overnight Oats คือ

    Overnight Oats อาหารเช้าสุขภาพง่าย ๆ

    Overnight Oats คืออะไร?

    Overnight Oats หรือ ข้าวโอ๊ตค้างคืน เป็นเมนูอาหารเช้าสุดฮิตที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นเมนูที่ทำง่าย อร่อย และมีประโยชน์ต่อสุขภาพสูง

    วิธีทำ Overnight Oats

    1. เตรียมส่วนผสม: ข้าวโอ๊ต นม (หรือเครื่องดื่มทางเลือกอื่น ๆ เช่น นมอัลมอนด์ นมถั่วเหลือง) โยเกิร์ต ผลไม้สดหรือแห้ง ถั่ว ธัญพืช และน้ำผึ้งหรือไซรัป
    2. ผสมส่วนผสม: ผสมข้าวโอ๊ตกับนมหรือเครื่องดื่มทางเลือกอื่น ๆ ในภาชนะที่ปิดสนิท
    3. แช่เย็น: แช่ในตู้เย็นข้ามคืน
    4. ตกแต่งและเสิร์ฟ: ในตอนเช้า นำออกมาตกแต่งด้วยผลไม้สด ถั่ว ธัญพืช และน้ำผึ้งหรือไซรัปตามชอบ

    ประโยชน์ของ Overnight Oats

    • อิ่มนาน: ข้าวโอ๊ตเป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ช่วยให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น
    • ไฟเบอร์สูง: ช่วยในการย่อยอาหารและสุขภาพลำไส้
    • โปรตีนสูง: ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
    • วิตามินและแร่ธาตุ: ผลไม้และธัญพืชที่เติมลงไปช่วยเพิ่มวิตามินและแร่ธาตุ
    • สะดวกและรวดเร็ว: สามารถเตรียมล่วงหน้าได้ ทำให้สะดวกในการรับประทานในตอนเช้า

    เคล็ดลับในการทำ Overnight Oats

    • เลือกข้าวโอ๊ต: เลือกข้าวโอ๊ตร่วนหรือข้าวโอ๊ตโรลด์
    • เลือกนมหรือเครื่องดื่มทางเลือก: เลือกชนิดที่ไม่หวานมากเกินไป
    • เพิ่มรสชาติ: เพิ่มรสชาติด้วยผลไม้สดหรือแห้ง ถั่ว ธัญพืช น้ำผึ้งหรือไซรัป
    • ปรับแต่งสูตร: ปรับสูตรให้เหมาะกับความชอบส่วนตัว
    • เก็บรักษา: เก็บรักษาในตู้เย็นไม่เกิน 2-3 วัน

    Overnight Oats เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับอาหารเช้าสุขภาพ สามารถปรับแต่งสูตรได้ตามความชอบและความต้องการทางโภชนาการ

    อาหารไขมันดี

    อาหารไขมันดี…มิตรแท้สุขภาพที่คุณควรรู้จัก

    ไขมันดี คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ?

    หลายคนมักเข้าใจผิดว่า ไขมันทั้งหมดเป็นตัวร้ายที่ก่อให้เกิดโรค แต่ความจริงแล้ว ไขมันก็มีทั้งดีและไม่ดี ไขมันดี (หรือ HDL cholesterol) มีบทบาทสำคัญในการช่วยขนส่งคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีออกจากหลอดเลือดไปทำลายที่ตับ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

    ไขมันดีมีประโยชน์อย่างไรบ้าง?

    • ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ: ไขมันดีช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีในเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรคหัวใจ
    • ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: ไขมันดีช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2
    • ช่วยบำรุงสมอง: ไขมันดีเป็นส่วนประกอบสำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ประสาท ช่วยบำรุงสมองและระบบประสาท
    • ช่วยดูดซึมวิตามิน: ไขมันดีช่วยในการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน เช่น วิตามิน A, D, E และ K

    อาหารที่มีไขมันดีสูง

    • ปลา: ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาแมคเคอเรล เป็นแหล่งของกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นไขมันดีชนิดหนึ่ง
    • ถั่ว: อัลมอนด์ วอลนัท เม็ดมะม่วงหิมพานต์ มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและเชิงซ้อนสูง
    • เมล็ดพืช: เมล็ดเจีย เมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดเชีย มีโอเมก้า 3 และไฟเบอร์สูง
    • อะโวคาโด: ผลไม้ที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูง ช่วยลดคอเลสเตอรอล
    • น้ำมันมะกอก: น้ำมันสำหรับปรุงอาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูง

    วิธีเพิ่มไขมันดีในอาหาร

    • ปรุงอาหารด้วยน้ำมันมะกอก: แทนที่การใช้น้ำมันปาล์มหรือน้ำมันทอดซ้ำ
    • เพิ่มปลาในเมนูอาหาร: กินปลาอย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์
    • ทานถั่วและเมล็ดพืชเป็นของว่าง: แทนที่ขนมขบเคี้ยว
    • ใส่อะโวคาโดในสลัด: หรือใช้แทนเนยในแซนวิช
    • ดื่มนมพร่องมันเนย: หรือโยเกิร์ต
    • ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ: เพื่อวางแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับสุขภาพของคุณ

    สรุป

    ไขมันดีเป็นส่วนประกอบสำคัญของร่างกาย การรับประทานอาหารที่มีไขมันดีอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ได้ อย่างไรก็ตาม ควรบริโภคอาหารไขมันดีในปริมาณที่เหมาะสม และหลีกเลี่ยงไขมันทรานส์ ซึ่งเป็นไขมันชนิดไม่ดีที่พบได้ในอาหารแปรรูป

    องุ่นแดง องุ่นเขียว

    องุ่นแดง องุ่นเขียว ต่างกันอย่างไร? รู้ไว้ กินให้ถูกโรค

    องุ่น ผลไม้สีสวย รสชาติหวานอมเปรี้ยว ที่หลายคนชื่นชอบ นอกจากจะอร่อยแล้ว องุ่นยังอุดมไปด้วยสารอาหารมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่รู้หรือไม่ว่า องุ่นแต่ละสีนั้นมีคุณสมบัติและสรรพคุณที่แตกต่างกันไป วันนี้เราจะพาคุณไปไขข้อข้องใจเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่าง องุ่นแดง และ องุ่นเขียว ว่ามีอะไรบ้าง

    ความแตกต่างระหว่าง องุ่นแดง และ องุ่นเขียว

    องุ่นแดง

    องุ่นแดง มีสีแดงเข้มสวยงาม อันเนื่องมาจากสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากความเสียหาย และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคเกี่ยวกับระบบประสาท

    คุณสมบัติเด่นขององุ่นแดง:

    • ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ: สารแอนโทไซยานินในองุ่นแดงช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ ลดความดันโลหิต และป้องกันการเกิดลิ่มเลือด
    • ชะลอความเสื่อมของสมอง: สารต้านอนุมูลอิสระในองุ่นแดงช่วยปกป้องเซลล์ประสาทและชะลอการเสื่อมของสมอง
    • ต้านการอักเสบ: ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ลดอาการปวดเมื่อย
    • บำรุงสายตา: สารเบต้าแคโรทีนช่วยบำรุงสายตา ป้องกันโรคต้อกระจก

    องุ่นเขียว

    องุ่นเขียว มีรสชาติหวานอมเปรี้ยวสดชื่น และมีปริมาณน้ำตาลน้อยกว่าองุ่นแดง อุดมไปด้วยวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น กรดเฟรูลิก (Ferulic acid)

    คุณสมบัติเด่นขององุ่นเขียว:

    • ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานหรือผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
    • บำรุงผิวพรรณ: วิตามินซีช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส และช่วยในการสร้างคอลลาเจน
    • เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน: วิตามินซีช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันการติดเชื้อ
    • ช่วยย่อยอาหาร: ใยอาหารในองุ่นเขียวช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบขับถ่าย

    สรุป

    ทั้งองุ่นแดงและองุ่นเขียวต่างมีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพที่แตกต่างกันออกไป การเลือกทานองุ่นชนิดใดขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวและสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล

    วิธีเลือกอะโวคาโด

    วิธีเลือกอะโวคาโดให้ได้ผลสุกกำลังดี อร่อยถูกใจ

    อะโวคาโด ผลไม้สุดฮิตที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ด้วยเนื้อสัมผัสเนียนนุ่ม รสชาติมันๆ หอมละมุน และมีประโยชน์ต่อสุขภาพสูง แต่หลายคนก็ยังสับสนในการเลือกซื้ออะโวคาโดให้ได้ผลที่สุกกำลังดี วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจ และเผยเคล็ดลับในการเลือกซื้ออะโวคาโดให้ได้ผลที่อร่อยถูกใจกันค่ะ

    วิธีเลือกอะโวคาโด

    • สังเกตสี: ผลอะโวคาโดที่สุกกำลังดีจะมีเปลือกสีเขียวเข้ม หรืออาจมีสีม่วงอมดำเล็กน้อย โดยเฉพาะบริเวณใกล้ขั้วผล
    • สัมผัส: กดเบาๆ ที่ผลอะโวคาโด ถ้ารู้สึกนิ่มเล็กน้อยทั่วผล แสดงว่าสุกกำลังดี หากแข็งมากแสดงว่ายังดิบอยู่ แต่ถ้ากดแล้วบุ๋มลงไปมาก แสดงว่าสุกเกินไป เนื้ออาจจะเละได้
    • ดูที่ขั้ว: ขั้วผลอะโวคาโดที่สุกจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล และเมื่อกดเบาๆ จะรู้สึกนิ่ม
    • เขย่า: ลองเขย่าผลอะโวคาโดเบาๆ ถ้าได้ยินเสียงเมล็ดขยับภายใน แสดงว่าสุกกำลังดี แต่ถ้าเงียบสนิทอาจจะยังดิบอยู่
    • สังเกตขนาด: ผลอะโวคาโดที่มีขนาดใหญ่ มักจะมีเนื้อเยอะกว่าผลเล็ก
    • หลีกเลี่ยงผลที่มีรอยช้ำ: ผลอะโวคาโดที่มีรอยช้ำ รอยบุบ หรือรอยด่าง จะมีรสชาติไม่อร่อย และอาจเน่าเสียได้เร็ว

    เคล็ดลับการเร่งให้อะโวคาโดสุกเร็วขึ้น

    • วิธีที่ 1: ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์: ห่อผลอะโวคาโดด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ แล้วเก็บไว้ในที่อุณหภูมิห้องประมาณ 1-2 วัน เอทิลีนที่ปล่อยออกมาจากผลไม้จะช่วยเร่งให้สุกเร็วขึ้น
    • วิธีที่ 2: ใช้กล้วย: วางผลอะโวคาโดไว้ใกล้ๆ กล้วยสุก กล้วยจะปล่อยแก๊สเอทิลีนออกมา ช่วยเร่งให้อะโวคาโดสุกเร็วขึ้น
    • วิธีที่ 3: ใช้เตาอบ: อุ่นเตาอบที่อุณหภูมิต่ำ ประมาณ 100 องศาเซลเซียส วางผลอะโวคาโดบนถาด แล้วอบประมาณ 10-15 นาที วิธีนี้จะช่วยให้เนื้ออะโวคาโดนิ่มเร็วขึ้น

    วิธีเก็บรักษาอะโวคาโดให้สด

    • อะโวคาโดที่ยังไม่สุก: เก็บไว้ในที่อุณหภูมิห้อง
    • อะโวคาโดที่สุกแล้ว: หากยังไม่พร้อมทาน สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นช่องผักได้ แต่เนื้อจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลได้เร็วขึ้น
    • อะโวคาโดที่หั่นแล้ว: หากหั่นอะโวคาโดออกมาแล้วทานไม่หมด สามารถเก็บไว้ในตู้เย็น โดยห่อด้วยพลาสติกแรปให้แน่นๆ หรือจะราดด้วยน้ำมะนาวเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อเปลี่ยนสี

    เคล็ดลับเพิ่มเติม:

    • หากต้องการให้อะโวคาโดสุกช้าลง สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นช่องผักได้
    • อะโวคาโดที่สุกกำลังดี จะมีเนื้อสีเหลืองอ่อน หรือสีเขียวอ่อน เนื้อนุ่ม และมีรสชาติมันๆ หอมละมุน
    ทีรามิสุ

    ทีรามิสุ: ขนมหวานอิตาเลียนสุดคลาสสิก ที่ใครๆ ก็หลงรัก

    ทีรามิสุ (Tiramisu) เป็นขนมหวานยอดนิยมที่มีต้นกำเนิดจากประเทศอิตาลี มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ด้วยรสชาติที่กลมกล่อม หวานมันกำลังดี และเนื้อสัมผัสที่นุ่มละมุนลิ้น ทำให้ทีรามิสุกลายเป็นเมนูโปรดของคนรักขนมหวานมากมาย

    ที่มาของชื่อ “ทีรามิสุ”

    ชื่อ “ทีรามิสุ” ในภาษาอิตาเลียนแปลว่า “พาฉันขึ้นไปสู่สวรรค์” ซึ่งสื่อถึงความรู้สึกที่ได้รับหลังจากได้ลิ้มลองรสชาติของขนมหวานชนิดนี้ โดยชื่อนี้มีความเป็นมาที่น่าสนใจและมีความเชื่อที่แตกต่างกันไป

    ส่วนผสมหลักของทีรามิสุ

    • เลดี้ฟิงเกอร์: เป็นขนมปังชนิดหนึ่งที่มีรูปร่างยาวและบาง จุ่มลงในกาแฟเอสเปรสโซเพื่อเพิ่มรสชาติ
    • มาสคาร์โปเน: ชีสครีมชนิดหนึ่งที่มีต้นกำเนิดจากแคว้นลอมบาร์ดีของอิตาลี มีลักษณะนุ่มเนียนและมีรสชาติหวานมัน
    • ไข่แดง: ช่วยเพิ่มความเข้มข้นและความมันให้กับครีม
    • น้ำตาล: ให้ความหวาน
    • กาแฟเอสเปรสโซ: เพิ่มรสชาติขมและกลิ่นหอม
    • ผงโกโก้: โรยด้านบนเพื่อเพิ่มความสวยงามและรสชาติ

    วิธีทำทีรามิสุแบบง่ายๆ

    1. เตรียมเลดี้ฟิงเกอร์: จุ่มเลดี้ฟิงเกอร์ลงในกาแฟเอสเปรสโซที่ผสมกับเหล้าบามา (ถ้ามี) เพียงเล็กน้อย แล้วเรียงลงในภาชนะ
    2. ทำครีม: ตีไข่แดงกับน้ำตาลจนขึ้นฟู จากนั้นจึงผสมมาสคาร์โปเนลงไป คนให้เข้ากัน
    3. ประกอบ: เทครีมที่ได้ลงบนชั้นเลดี้ฟิงเกอร์ สลับชั้นกันไปเรื่อยๆ จนหมด
    4. ตกแต่ง: โรยผงโกโก้ด้านบนให้ทั่ว
    5. แช่เย็น: นำเข้าตู้เย็นประมาณ 2-3 ชั่วโมง ก่อนเสิร์ฟ

    ความหลากหลายของทีรามิสุ

    ปัจจุบันมีการดัดแปลงสูตรทีรามิสุให้มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น เพิ่มผลไม้สด หรือเปลี่ยนรสชาติของกาแฟ เป็นต้น แต่ไม่ว่าจะดัดแปลงอย่างไร ทีรามิซุก็นับว่าเป็นขนมหวานที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องทั่วโลก

    เคล็ดลับในการทำทีรามิสุให้อร่อย

    • เลือกวัตถุดิบคุณภาพดี: โดยเฉพาะมาสคาร์โปเน ควรเลือกที่มีความสดใหม่และมีคุณภาพดี
    • ควบคุมปริมาณกาแฟ: ไม่ควรจุ่มเลดี้ฟิงเกอร์ในกาแฟมากเกินไป เพราะจะทำให้รสชาติขมเกินไป
    • แช่เย็นให้พอดี: การแช่เย็นจะช่วยให้รสชาติของทีรามิสุเข้ากันได้ดีขึ้น
    • ตกแต่งให้สวยงาม: การโรยผงโกโก้หรือตกแต่งด้วยผลไม้สดจะช่วยเพิ่มความน่าทาน

    ทีรามิสุไม่เพียงแต่เป็นขนมหวานที่อร่อย แต่ยังเป็นตัวแทนของวัฒนธรรมอาหารอิตาเลียนที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก หากมีโอกาส ลองทำทีรามิสุทานเองที่บ้านดูนะคะ รับรองว่าจะติดใจ


    เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

    ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

    คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

    ยอมรับทั้งหมด
    จัดการความเป็นส่วนตัว
    • เปิดใช้งานตลอด

    บันทึกการตั้งค่า